ทลายแก๊งหลอกลวงข้ามชาติตุ๋นเหยื่อทั่วโลกสูญกว่า 2 พันล้านบาท


DSI เปิดปฏิบัติการ Operation Shadow Bay ทลายขบวนการหลอกลวงข้ามชาติ จับแก๊งครูต่างชาติปลอม สร้างกว่า 2,000 เว็บปลอม หลอกเหยื่อทั่วโลกกว่า 20 ประเทศสูญเงินกว่า 2,000 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วย ร้อยตำรวจเอก วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และ ร้อยตำรวจเอก เขมชาติ ประกายหงษ์มณีผู้อำนวยการกองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ ได้ร่วมกัน แถลงข่าวการปฏิบัติการ Operation Shadow Bay ทลายขบวนการหลอกลวงข้ามชาติ หลอกให้ซื้อสินค้าหรือบริการที่ ไม่มีอยู่จริงผ่านเว็บไซต์ปลอมกว่า 2,000 เว็บไซต์ หลอกเหยื่อทั่วโลกกว่า 20 ประเทศ มูลค่าความเสียหายกว่า 800 ล้านบาท
โดยเมื่อวานนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม 2568) พันตำรวจตรี ยุทธนาฯ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษได้มอบหมายให้ ร้อยตำรวจเอก วิษณุฯ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และร้อยตำรวจเอก เขมชาติฯ ผู้อำนวยการกองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศนำกำลังเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษบูรณาการร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเข้าทำการตรวจค้นจับกุมขบวนการสแกมเมอร์และกลุ่มเครือข่ายชาวต่างชาติ ในพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพ นครปฐม กาญจนบุรี จันทบุรี และกระบี่ โดยปฏิบัติการพร้อมกัน 11 จุดทั่วประเทศ
ได้แก่ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล 5 จุด นครปฐม 2 จุด กระบี่ 2 จุด กาญจนบุรี 1 จุด และจันทบุรี 1 จุด สามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้ จำนวน 9 ราย ได้แก่ นายลีวินุส (Mr.Livinus) สัญชาติไนจีเรีย นายเดอริค (Mr.Derrick) สัญชาติแคเมอรูน นายกอง (Mr.Ghong) สัญชาติแคเมอรูน นางสาวจิตรภัสร์ (สงวนนามสกุล) นายธนิชภพ (สงวนนามสกุล) นายอนุชาติ (สงวนนามสกุล) นางสาวจันทรัตน์ (สงวนนามสกุล) นางสาวปณัสยา (สงวนนามสกุล) และนางสาวอรวรรณ (สงวนนามมสกุล) สัญชาติไทย ในข้อหากระทำความผิดฐาน ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ
โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชนและความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนด้วยการแสดงตนเป็นคนอื่น ร่วมกันฟอกเงินและร่วมกันสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ได้แก่ วอลเล็ท (กระเป๋าเงินดิจิทัล) 2 กระเป๋า รถยนต์ 3 คัน รถจักรยานยนต์ 3 คัน วัตถุมีลักษณะคล้ายทองแดง ประมาณ 15 ตัน โทรศัพท์มือถือ 18 เครื่อง แท็บเล็ต 1 เครื่อง คอมพิวเตอร์ 13 เครื่อง สมุดบัญชีธนาคาร 21 เล่ม และพยานวัตถุอื่น ๆ
ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้ยึดและอายัดทรัพย์สิน รวมทั้งได้ประสานงานธนาคารพาณิชย์ให้อายัดบัญชีที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดกว่า 500 บัญชี รวมมูลค่าความเสียหายจากการหลอกลวงครั้งนี้ สูงกว่า 2,000 ล้านบาท ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อภาพลักษณ์ทางธุรกิจและความเชื่อมั่นของประเทศไทยในสายตานานาชาติ โดยทรัพย์สินที่ยึดอายัดทั้งหมด กรมสอบสวนคดีพิเศษจะดำเนินการประสานงานกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ปฏิบัติการดังกล่าวสืบเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เมื่อปี พ.ศ.2563 กรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการหลอกลวงให้ซื้อถุงมือยางทางการแพทย์ หน้ากากอนามัยผ่านเว็บไซต์ขายสินค้ากว่า 40 ราย ต่อมากองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ ได้จัดตั้งชุดสืบสวนเพื่อติดตามข้อเท็จจริง พบว่าการหลอกลวงดังกล่าวเป็นแผนการของแก๊งสแกมเมอร์ข้ามชาติ จำนวนกว่า 30 คน โดยกลุ่มบุคคลเหล่านี้เดินทางเข้ามาในประเทศไทยโดยใช้วีซ่านักท่องเที่ยวจากนั้นจะพยายามหาวิธีอยู่ต่อในราชอาณาจักรอย่างถาวร เช่น การสมรสกับหญิงไทย แล้วอาศัยสถานะสมรสเพื่อขอต่อวีซ่าหรือสมัครงานเป็นครูอัตราจ้างในสถานศึกษาของรัฐและเอกชน หรือจัดตั้งบริษัทประกอบธุรกิจในลักษณะบังหน้า เพื่อใช้ฟอกเงินและใช้เป็นเหตุในการขออยู่ต่อในราชอาณาจักร
ในขบวนการสแกมเมอร์นี้ส่วนใหญ่เป็นชาวแคเมอรูน ไนจีเรีย และอินเดีย ที่แฝงตัวเป็นครูสอนภาษาในโรงเรียนรัฐและโรงเรียนเอกชนในไทยหลายแห่ง มานานกว่า 15 ปี และใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทปลอมกว่า 100 แห่ง พร้อมเปิดบัญชีม้าสำหรับรับโอนเงินกว่า 500 บัญชี จากนั้นมีการสร้างเว็บไซต์ปลอม หลอกจำหน่ายสินค้าและบริการจำนวนกว่า 2,000 เว็บไซต์ นำไปก่อเหตุหลอกลวงให้ผู้เสียหาย ที่มีทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ ให้หลงเชื่อว่าเป็นสินค้าและบริการของคนไทย ก่อนหลอกให้โอนเงินและส่งเงินกลับประเทศต้นทาง หรือนำเงินไปฟอกด้วยการซื้อเหรียญดิจิทัล
นอกจากจะให้ภรรยาชาวไทยเปิดบริษัทปลอมขึ้นแล้วยังได้หลอกลวงชักชวนประชาชนให้มาเปิดบริษัทพร้อมเปิดบัญชีธนาคารให้ โดยอ้างว่าจะแบ่งปันผลประโยชน์ให้หากมีผลประกอบการที่ดี ทำให้มีประชาชนหลงเชื่อเป็นจำนวนมาก ซึ่งบริษัทปลอม 1 บริษัท จะมีการเปิดบัญชีธนาคารควบคู่กันด้วย 5-8 บัญชี เพื่อเตรียมไว้ใช้รับโอนเงิน หลังจากนั้นสมาชิกของแก๊งที่ทำหน้าที่สร้างเว็บไซต์ปลอมเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือว่ามีการประกอบธุรกิจจริง จะโพสต์โฆษณาเชิญชวนให้บุคคลทั่วไปเข้ามาเลือกซื้อสินค้าและบริการ อาทิเช่น สินค้าจำพวกเครื่องยนต์เรือ อุปกรณ์ทางการแพทย์ อาหาร ฯลฯ และให้โอนเงินมายังบัญชีธนาคารของบริษัทฯ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้มีการส่งมอบสินค้าและบริการแต่อย่างใด และยังมีการโจมตีระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อเปลี่ยนแปลงข้อมูลการทำธุรกรรมการเงินของบริษัทคู่ค้าและโอนเงินเข้าบัญชีของกลุ่มผู้ต้องหา
พฤติการณ์และการกระทำความผิดของกลุ่มเครือข่ายชาวต่างชาติดังกล่าวมีความซับซ้อน และมีความพยายามตัดความเชื่อมโยงของพยานหลักฐาน โดยการสร้างหรือแอบอ้างบุคคลหรือนิติบุคคล เข้ามาใช้ในการกระทำความผิดมีลักษณะเป็นการกระทำความผิดข้ามชาติที่สำคัญ หรือเป็นการกระทำขององค์กรอาชญากรรมที่มีผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนและก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้านการเงิน ด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ ทำให้คนไทยเสียโอกาสทางธุรกิจ และถูกแจ้งเตือนในเว็บไซต์ต่างประเทศหลายเว็บ ให้ระมัดระวังในการติดต่อซื้อขายกับบริษัทห้างร้านในประเทศไทย
กรมสอบสวนคดีพิเศษขอแจ้งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากกรณีดังกล่าว สามารถเข้าพบพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ณ กองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ อาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร หรือสามารถติดต่อผ่าน สายด่วน DSI โทร. 1202 (โทรฟรีทั่วประเทศ) หรือเว็บไซต์กรมสอบสวนคดีพิเศษ www.dsi.go.th เพื่อให้ข้อมูลและส่งมอบหลักฐานประกอบการดำเนินคดี ทั้งนี้ ข้อมูลทุกอย่างจะได้รับการเก็บรักษาเป็นความลับอย่างเคร่งครัด