อึ้ง !!! น่าน ยังพบเด็กอ่านไม่ออก-เขียนไม่ได้ ทั้งหลุดและไม่เคยเข้าโรงเรียนเลย ขณะที่ศึกษาธิการจังหวัดน่าน จับมือภาคีภาคการศึกษาและเครือข่ายสหวิชาชีพ เดินหน้า “Nan zero dropout นำเด็กกลับเข้าสู่ระบบการศึกษา”


จังหวัดน่าน นำโดย นายชัยนรงค์ วงศ์ใหญ่ ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน พร้อมด้วย นายศิริโชค พิพัฒน์เสฐียรกุล ศึกษาธิการจังหวัดน่าน ให้ความสำคัญและขับเคลื่อนนโยบาย Thailand Zero Dropout ซึ่งเป็นนโยบายที่มุ่งเน้นการจัดการศึกษาให้ครอบคลุมและเท่าเทียมสำหรับเด็กและเยาวชนทุกคนได้รับการศึกษา โดยเฉพาะในช่วงการศึกษาภาคบังคับ ป.1 – ม.3 เป็นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ โดยการตั้งคณะทำงานทั้งภาคีภาคการศึกษาและเครือข่ายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันสำรวจค้นหา “เด็กน่าน” ที่หล่นหาย กับภารกิจ “พาเด็กน่านกลับมาเรียน” ในโครงการ “Nan Zero Dropout”
จากการดำเนินงานในระยะแรก ที่มีการสำรวจและค้นหาเด็ก โดยใช้ 7 กระบวนการตามระบบ Thailand zero dropout (TZD) มีตัวเลขข้อมูลของเด็กและเยาวชนในจังหวัดถึง 2,510 ราย ที่จะต้องนำเด็กเข้าระบบ TZD สู่การขับเคลื่อนในระยะที่สอง ด้วย 4 มาตรการ คือ ป้องกัน แก้ไข ส่งต่อ และติดตามดูแลช่วยเหลือ โดยทีมคณะทำงาน ซึ่งประกอบไปด้วยความร่วมมือจาก ศึกษาธิการจังหวัดน่าน และภาคีภาคการศึกษา ทั้ง สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดน่าน (สกร.) ศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดน่าน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาน่าน และเครือข่ายสหวิชาชีพ ได้แก่ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดน่าน สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวนจังหวัดน่าน ภาคประชาสังคม และ สื่อมวลชน ร่วมกันลงพื้นที่เยี่ยมบ้านเด็กและเยาวชนที่หลุดจากระบบการศึกษา ในพื้นที่ อ.เฉลิมพระเกียรติ อ.ทุ่งช้าง อ.สองแคว อ.บ่อเกลือ และ อ.ปัว เพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา ด้วยการจัดการศึกษาที่ยืดหยุ่น และการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่
นางสาวปาลิกา คำวรรณ์ ผู้อำนวยการกลุ่มพัฒนาการศึกษา สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดน่าน เปิดเผยว่า เด็กที่ “หลุด” หรือ “ตกหล่น” จากระบบการศึกษาภาคบังคับ (ป.1 - ม.3) เด็กเหล่านี้ไม่ใช่แค่ไม่เรียน แต่บางคน ไม่เคยได้เรียนเลย สาเหตุซับซ้อนและซ้อนทับกัน ไม่ว่าจะเป็น ความยากจนในครัวเรือน ความไม่เห็นคุณค่าของการศึกษาในสายตาผู้ปกครอง ความพิการ หรือปัญหาสุขภาพของเด็ก สภาพภูมิประเทศที่เข้าถึงยาก โดยเฉพาะในฤดูฝน หรือแม้แต่ครอบครัวที่มีปัญหายาเสพติด และความรุนแรงจนไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วย ซึ่งเป็นปัญหาที่ไม่ใช่แค่ของใครคนใดคนหนึ่ง ที่จะช่วยเหลือให้เด็กได้เรียนหนังสือ
หนึ่งในกรณีที่สะเทือนใจ คือ เด็กหญิงวัย 9 ขวบ จากหมู่บ้านปางแก อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน เด็กคนนี้ไม่เคยได้เข้าโรงเรียนเลยแม้บ้านจะอยู่ใกล้โรงเรียน เหตุผลเพียงเพราะผู้เป็นพ่อ ติดยาเสพติดและใช้ความรุนแรงกับครอบครัว ไม่อนุญาตให้เรียน และยังข่มขู่ทุกคนที่พยายามเข้ามาช่วยเหลือ เด็กหญิงอาศัยอยู่ในบ้านที่พ่อของเธอเคยคลุ้มคลั่งเผาบ้านของตัวเอง จนชุมชนต้องให้แยกบ้านไปอยู่ไกลเพื่อความปลอดภัยของคนในชุมชน ซึ่งปัจจุบันสภาพบ้านที่อยู่อาศัย ไม่ได้มีความเหมาะสมกับการเป็นอยู่ของเด็ก ที่ต้องนอนรวมกันทั้งบ้าน ห้องน้ำที่มีเพียงผ้ามากั้นบังปิดตาไม่มีประตูมิดชิดปลอดภัย ทั้งหมดคือความสุ่มเสี่ยงขั้นวิกฤตของเด็กหญิง แม้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมกับการเลี้ยงดูเด็กหญิงที่กำลังเติบโต แต่เธอยังพยายามเรียนหนังสือ จากสามเณรพี่ชายที่ช่วยให้เธอได้ฝึกเขียนตัวหนังสือตามรอยประ และลายมือของเธอก็สวยจนหลายคนชื่นชม เธอมักรอคอยเพื่อนรุ่นพี่กลับมาจากโรงเรียนเพื่อขอของกินและเล่าเรื่องราวต่างๆให้เธอฟัง วันนี้ที่คณะทำงานได้พบเจอตัวเธอและหาทางให้เธอได้เข้าสู่ระบบการเรียน สิ่งที่รับรู้ได้คือ “แววตา” และ “รอยยิ้ม” ของความหวัง ว่าเธอจะได้มีชื่อในบัญชีเด็กนักเรียนเหมือนคนอื่น
การศึกษาที่ยืดหยุ่น เพื่อเด็กและเยาวชนที่ไม่เหมือนกัน เพราะเด็กแต่ละคนมีปัญหาและบริบทต่างกัน การจัดการศึกษาจึงไม่ใช่สูตรเดียวสำหรับทุกคน บางราย โดยเฉพาะเด็กที่มีปัญหาสุขภาพ หรือพิการต้องสอนถึงบ้าน โดยศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดน่าน บางรายต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่หลักสูตรไม่รู้หนังสือของ สกร. บางคนเคยเรียนแค่ ป.1 หรือ ป.6 แล้วก็หายไปจากระบบ บางคนไม่อยากเรียนเพราะพ่อแม่ก็ไม่รู้หนังสือ และไม่เคยปลูกฝังความสำคัญของการศึกษาให้ลูกเลย ซึ่งคณะทำงาน ต้องใช้ทั้งวาทศิลป์หว่านล้อมและอ้างถึงพระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ พ.ศ. 2545 โดยเฉพาะมาตรา 13 ที่ระบุว่าผู้ปกครองต้องส่งเด็กเข้าเรียน และมาตรา 15 ที่กำหนดโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทสำหรับผู้ที่ไม่ปฏิบัติตาม เพื่อสร้างความเข้าใจและเห็นถึงประโยชน์ของการศึกษา
“พวกเราต้องช่วยกัน” คือถ้อยคำสำคัญที่สะท้อนจากคณะทำงานในพื้นที่ เพราะสิ่งที่กำลังทำ ไม่ใช่แค่การคืนเด็กสู่ห้องเรียน แต่คือการ คืนอนาคต คืนศักดิ์ศรี และคืนโอกาสของชีวิต ให้กับเด็กคนหนึ่ง ที่อาจกลายเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณค่าต่อชุมชนและสังคมในวันข้างหน้า การแก้ปัญหาเด็กหลุดจากระบบการศึกษา ไม่ใช่ภาระของภาครัฐเพียงฝ่ายเดียว แต่คือ “หน้าที่ของสังคม” ที่ต้องยื่นมือช่วยเหลือ “ก่อนเด็กจะหล่นไปไกลกว่านี้” เด็กทุกคนควรมีสิทธิ์ในการฝัน และการเรียนรู้ อย่าปล่อยให้เด็กคนไหนต้องยืนมองรั้วโรงเรียนอยู่ห่าง ๆ ในขณะที่โลกทั้งใบหมุนเดินหน้าต่อไป โดยไม่มีพวกเขาอยู่ในนั้น
ระรินธร เพ็ชรเจริญ รายงาน