ตำรวจบุกรวบ 2 โจ๋รับจ้างจีนเทาตระเวนส่ง SMS ปลอมกลางกรุง


ตำรวจไซเบอร์ผนึกกำลัง AIS เปิดปฏิบัติการ “OPERATION KHAO SAN” รวบอีก 2 โจ๋ไทย รับจ้างจีนเทา ขับรถซ่อนเครื่อง FBS ตระเวนส่ง SMS ปลอมกลางกรุง
เมื่อวันที่ 16 ส.ค.68 ที่ บก.สอท.2 (เมืองทองธานี) นำโดย พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท.,พร้อมกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3,และกลุ่มงานรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ บก.ตอท. ร่วมกับ คุณวิสิษฐศักดิ์ เจริญไชย ผู้จัดการงานองค์กรสัมพันธ์ AIS พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมแถลงข่าว ตำรวจไซเบอร์ผนึกกำลัง AIS เปิดปฏิบัติการ “OPERATION KHAO SAN” รวบอีก 2 โจ๋ไทย รับจ้างจีนเทา ขับรถซ่อนเครื่อง FBS ตระเวนส่ง SMS ปลอมกลางกรุง
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 10 ส.ค.68 บช.สอท. ได้ร่วมกับ AIS แถลงข่าวกรณีจับกุมผู้ต้องหาเป็นวัยรุ่นเพศชาย จำนวน 2 ราย ได้ขับรถยนต์ที่ติดตั้งเครื่องจำลองสถานีฐาน (False Base Station) เพื่อตระเวนส่งสัญญาณ SMS ปลอมแนบลิงก์ที่เข้าสู่เว็บไซต์ปลอม เพื่อหลอกประชาชนที่หลงเชื่อให้สูญเสียทรัพย์สิน โดยจับกุมได้บริเวณปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งย่านถ.สิรินธร แขวงบางพลัด เขตบางพลัด กทม. ซึ่งเจ้าตัวอ้างว่าได้รับการว่าจ้างจากชาวจีนผ่านทางแอปพลิเคชัน Telegram
จากการจับกุมครั้งนั้น และจากการสืบสวนร่วมกับชุดวิเคราะห์ข้อมูล ศปอส.ตร. จึงทำให้เชื่อว่า อาจมีผู้ก่อเหตุในลักษณะดังกล่าวอีก
ต่อมา พ.ต.อ.อดิชาต อมรประดิษฐ์ ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3 และกลุ่มงานรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ บก.ตอท. จึงได้นำกำลังตำรวจไซเบอร์รวมหลายสิบนาย ร่วมกับทีมวิศวกรจาก AIS กระจายกำลังลงพื้นที่ตรวจสอบ โดยวางกำลังค้นหาคนร้ายที่ก่อเหตุรอบพื้นที่ กทม. โดยเฉพาะถนนเส้นหลักและย่านชุมชน
กระทั่งช่วงเวลาประมาณ 23.00 น. ของวันที่ 14 ส.ค.68 เจ้าหน้าที่ตำรวจพบรถยนต์ต้องสงสัย ยี่ห้อ SUZUKI รุ่น ERTIGA GX สีขาว ขับอยู่ในซอยสุขุมวิท 3 จึงได้สะกดรอยติดตาม ซึ่งขณะเจ้าหน้าที่ขับตามนั้น ก็ยังมีข้อความ SMS แนบลิงก์เข้าสู่เว็บไซต์ปลอมส่งเข้าโทรศัพท์มือถือของเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างต่อเนื่อง โดยรถยนต์คันดังกล่าวได้ขับผ่านย่านถนนสุขุมวิท เพลินจิต ราชประสงค์ ปทุมวัน พญาไท ราชเทวี ยมราช ถนนหลานหลวง เทเวศน์ สามเสน
และมุ่งหน้าบริเวณ สน.ชนะสงคราม
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ประสาน พ.ต.อ.นิพนธ์ นิธิการุณย์เลิศ ผกก.สน.ชนะสงคราม ช่วยติดตามเพื่อสกัดรถคันดังกล่าว จึงได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ นำโดย พ.ต.ท.เอกภณ พุทธิกุล รองผกก.ป.สน.ชนะสงคราม และ พ.ต.ต.อนพัทย์ พุ่มนวน สวป.สน.ชนะสงคราม พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัด ร่วมติดตามรถคันดังกล่าว กระทั่งช่วงเวลา 01.00 น. จึงสามารถสกัดรถคันดังกล่าวได้บริเวณลานจอดรถกองสลากเก่า จึงได้แสดงตัวเข้าตรวจค้น
จากการตรวจค้น พบนายนพรัตน์ อายุ 25 ปี เป็นผู้ขับขี่ และนายมังกร อายุ 23 ปี นั่งอยู่เบาะหน้าข้างคนขับเมื่อตรวจสอบภายในรถยนต์ร่วมกับวิศวกรของ AIS พบว่าบริเวณห้องโดยสารตอนหลัง มีเครื่องจำลองสถานีฐาน (False base station) และกล่องรับส่งสัญญาณไวไฟ กำลังทำงานอยู่ โดยมีการเชื่อมต่อกับเครื่องจ่ายไฟเคลื่อนที่ (Power Station) พร้อมอุปกรณ์กระจายสัญญาณซึ่งติดตั้งอยู่บนหลังคารถโดยดัดแปลงเป็นรูปคลีบฉลามเหมือนอุปกรณ์ตกแต่งรถทั่วไป เพื่ออำพรางสายตาเจ้าหน้าที่ไม่ให้น่าสงสัย โดยระหว่างการตรวจค้นนั้น ก็ยังมี SMS แนบลิงก์เข้าสู่เว็บไซต์ปลอมเข้ามาในกล่องข้อความโทรศัพท์มือถือของเจ้าหน้าที่อย่างต่อเนื่อง
จากการซักถาม นายนพรัตน์ฯ ผู้ถูกจับ ให้ข้อมูลว่า เมื่อช่วงเดือน ก.พ.68 ตนเองได้รับการติดต่อจากชายสัญชาติกัมพูชารายหนึ่ง ซึ่งเป็นพนักงานเสิร์ฟในร้านเหล้าย่านถนนข้าวสาร ให้ทำงานขับรถพาบอสชาวจีนและแฟนสาวเที่ยวกรุงเทพฯ ตนจึงรับงาน
ต่อมาช่วงต้นเดือนมีนาคม บอสชาวจีนติดต่อมาอีกครั้ง ขอส่งพัสดุจากประเทศจีนมาให้ตน อ้างว่าเป็นแบตเตอรี่สำรอง เมื่อพัสดุมาถึง พบว่าภายในกล่อง มีแบตเตอรี่ เครื่องส่งสัญญาณ FBS เราเตอร์ไวไฟ เสาอากาศ และปลั๊กไฟ พร้อมกับโอนเงินมาให้ตน 2,000 บาท เป็นค่าฝากเครื่อง และได้สอนวิธีติดตั้งและใช้งานผ่านแอปพลิเคชันส่ง SMS รวมทั้งสอนติดตั้งอุปกรณ์ภายในรถยนต์ เพื่อให้ขับรถตระเวนส่งข้อความ SMS ตามคำสั่ง โดยช่วงแรกใช้รถแฟนเก่าในการก่อเหตุ ได้ค่าจ้างวันละ 3,300 บาท และต่อมาได้เปลี่ยนมาใช้วิธีการเช่ารถเพื่อนำไปก่อเหตุ โดยบอสชาวจีนเป็นผู้จ่ายค่าเช่าให้ และตนเองได้ค่าจ้างวันละ 1,350 บาท โดยทำงานวันละ 2 ช่วงเวลา คือ 09.00–12.00 น. และ 18.00–01.00 น. โดยขับรถไปย่านที่มีผู้คนพลุกพล่านทั่วกรุงเทพ เช่น แยกท่าพระ โรงพยาบาลศิริราช ถนนข้าวสาร ถนนเยาวราช ซอยนาน ทองหล่อ ห้วยขวาง ดินแดง ปิ่นเกล้า ปากคลองตลาด เป็นต้น
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงแจ้งข้อหา ดังนี้
1. “ร่วมกัน ทำ มี ใช้ นำเข้า นำออก หรือค้าซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต ตามมาตรา 6 พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ.2498
2. ร่วมกันตั้งสถานีวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาตตามมาตรา 11 พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ.2498
3. ร่วมกันใช้คลื่นความถี่ในการประกอบกิจการโทรคมนาคม โดยไม่ได้รับอนุญาตอันมีลักษณะที่เป็นการประกอบกิจการโทรคมนาคมแบบที่สาม ตามมาตรา 67(3) ตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม
4. ร่วมกันพยายามฉ้อโกงประชาชนฯ ตาม ป.อาญา มาตรา 343
5. ร่วมกันกระทำโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลที่บิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลอันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ พ.ศ.2560 มาตรา 14(1)
6. ร่วมกันดักรับไว้ ใช้ประโยชน์ หรือเปิดเผยโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งข่าววิทยุคมนาคมที่มิได้มุ่งหมายเพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติหรือประชาชน ตามมาตรา 17 พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
7. ร่วมกันกระทำความผิดฐาน อั้งยี่ ตาม ป.อาญา มาตรา 209”
โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผลไปยังบอสชาวจีนรายดังกล่าว และหาความเชื่อมโยงไปยังกลุ่มผู้ก่อเหตุที่เคยจับได้ก่อนหน้านี้ ว่าเป็นขบวนการเดียว มีบอสชาวจีนคนเดียวกันหรือไม่ เพื่อเร่งรวบรวมพยานดำเนินคดีชาวต่างชาติรวมทั้งผู้ร่วมขบวนการชาวไทยที่เกี่ยวข้องต่อไป