ผลักดัน “หน่อไม้เป๊าะ” จ.แพร่ สู่สินค้าเกษตรมูลค่าสูง

ผลักดัน “หน่อไม้เป๊าะ” จ.แพร่ สู่สินค้าเกษตรมูลค่าสูง





Image
ad1

สศท.2เตรียมผลักดัน “หน่อไม้เป๊าะ” จ.แพร่ สู่สินค้าเกษตรมูลค่าสูง นำร่อง “กลุ่มแปลงใหญ่ไผ่เป๊าะ” มีศักยภาพการผลิต

นางธัญญ์พิชชา เถระรัชชานนท์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 2 พิษณุโลก (สศท.2) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า ไผ่นับเป็นพืชเศรษฐกิจสร้างรายได้ของจังหวัดแพร่ โดยเฉพาะไผ่เป๊าะ ซึ่งมีเนื้อที่ปลูกรวม 450 ไร่ กระจายในหลายอำเภอ เป็นที่นิยมในเมนูอาหารพื้นถิ่นของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สร้างมูลค่าทางการค้าให้กับจังหวัดแพร่มากกว่า 40 ล้านบาท/ปี ทั้งนี้ หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในพื้นที่เตรียมผลักดันหน่อไม้ไผ่เป๊าะ เป็น 1 ในสินค้าเกษตรมูลค่าสูงของจังหวัดทั้งนี้ สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดแพร่ได้เตรียมจัดทำข้อเสนอโครงการเชิงบูรณาการเพื่อพัฒนาสินค้าเกษตรระดับหมู่บ้านสู่เกษตรมูลค่าสูง ตามแนวทาง BCG Model โดยจะใช้เป็นฐานในการขอรับการสนับสนุนงบพัฒนาจังหวัดในปีงบประมาณ พ.ศ. 2570

นางธัญญ์พิชชา เถระรัชชานนท์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 2 พิษณุโลก (สศท.2)

จากการลงพื้นที่ติดตามของ สศท.2 พบว่า จังหวัดแพร่มีการรวมกลุ่มเกษตรกรจัดตั้งเป็นเกษตรแปลงใหญ่ไผ่เป๊าะ จำนวน 4 แปลง โดยแปลงใหญ่ที่ประสบความสำเร็จและได้รับคัดเลือกเป็นพื้นที่เป้าหมายโครงการฯ คือ กลุ่มแปลงใหญ่ไผ่เป๊าะ ตำบลป่าสัก อำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่ เริ่มรวมกลุ่มจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจชุมชน ปี 2562 และเข้าร่วมโครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ ปี 2564 ปัจจุบันมีเนื้อที่ปลูก 150 ไร่ สมาชิกเกษตรกร 116 ราย มี นายสมพงษ์ ปวนหนิ้ว เป็นประธานกลุ่ม ซึ่งกลุ่มมีพื้นที่เพาะปลูกเอื้ออำนวยต่อการผลิต มีรูปแบบการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และให้ความสำคัญต่อความปลอดภัยของผู้ผลิตและผู้บริโภค โดยผลผลิตของกลุ่มผ่านการรับรองมาตรฐาน GAP นอกจากนี้ เกษตรกรยังสามารถผลิตหน่อไม้เป๊าะนอกฤดูในช่วงต้นปีได้ (มกราคม-กุมภาพันธ์) ส่งผลให้สามารถจำหน่ายผลผลิตได้ในราคาสูงและมีผลผลิตจำหน่ายได้ต่อเนื่องถึง 7 เดือน (มกราคม-กรกฎาคม) ซึ่งแตกต่างจากแหล่งผลิตในภาคเหนือตอนบนที่มีสภาพอากาศหนาวเย็นส่งผลทำให้ไผ่เป๊าะไม่แตกหน่อ

ด้านสถานการณ์การผลิตของกลุ่มแปลงใหญ่ไผ่เป๊าะตำบลป่าสัก พบว่า ในการปลูกหน่อไม้ไผ่เป๊าะ เกษตรกรจะเลือกใช้กิ่งพันธุ์จากแปลงไผ่ของตนเองในการปลูกเพื่อให้มั่นใจในคุณภาพและความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ โดยขยายเป็นกอให้มีประมาณ 80 กอ/ไร่ เกษตรกรรายใหม่จะนิยมปลูกช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ที่เข้าสู่ฤดูฝนแล้ว สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เมื่อครบอายุประมาณ 1 ปีหลังปลูก กลุ่มได้ผลผลิตรวม 8 ตัน/ปี ผลผลิตเฉลี่ย 8,000 กิโลกรัม/ไร่/ปี ส่งผลให้กลุ่มได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 80,000-104,000 บาท/ไร่/ปี ผลตอบแทนเฉลี่ยสุทธิ (กำไร) 40,000-64,000 บาท/ไร่/ปี ซึ่งหากคิดเป็นผลตอบแทนจากการผลิตรวมของทั้งกลุ่มจะสูงถึง 12-15 ล้านบาท/ปี สำหรับด้านการตลาด ผลผลิตมากกว่าร้อยละ 95 จำหน่ายให้กับพ่อค้ารวบรวมในพื้นที่ซึ่งเข้ามารับซื้อถึงแปลงของเกษตรกร ผลผลิตส่วนที่เหลือจะจำหน่ายภายในชุมชน ราคาที่เกษตรกรจำหน่ายได้จะแตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลา ราคาภาพรวมเฉลี่ยทั้งปีอยู่ระหว่าง 10-13 บาท/กิโลกรัม หากพิจารณาราคาจำแนกตามช่วงเวลา พบว่า ช่วงต้นฤดู (มกราคม-กุมภาพันธ์) ราคาผลผลิต เกรด A อยู่ระหว่าง 35-40 บาท/กิโลกรัม เกรด B อยู่ระหว่าง 20-25 บาท/กิโลกรัม และเกรด C ราคาต่ำกว่า 20 บาท/กิโลกรัม ช่วงกลางฤดู (มีนาคม-พฤษภาคม) ผลผลิต เกรด A อยู่ที่ 20 บาท/กิโลกรัม เกรด B อยู่ที่ 15 บาท/กิโลกรัม เกรด C อยู่ที่ 10 บาท/กิโลกรัม และช่วงปลายฤดู (มิถุนายน-กรกฎาคม) ซึ่งเป็นช่วงที่ผลผลิตออกตรงกับหน่อไม้ป่าจากแหล่งอื่นๆ จะขายในรูปแบบเหมาคละเกรดราคาอยู่ที่ 5 บาท/กิโลกรัม.

“สำหรับแปลงใหญ่ไผ่เป๊าะตำบลป่าสัก นับเป็นแปลงใหญ่ที่มีศักยภาพการผลิต ซึ่งหากพิจารณาปัจจัยสภาพแวดล้อมภายในและภายนอก สามารถขับเคลื่อนจัดทำเป็นกิจกรรม แผนงาน โครงการ ในการพัฒนาสินค้าเกษตรมูลค่าสูงตามกรอบแนวทาง BCG Model อย่างครอบคลุมทุกมิติ อาทิ ด้าน Bio – B Economy จากปัจจุบัน ที่มีการนำผลผลิตตกเกรดมาแปรรูปเป็นหน่อไม้ดอง สามารถพัฒนาต่อยอดไปถึงการทำหน่อไม้อบแห้ง ขนมอบกรอบ หรือผลิตภัณฑ์อื่นที่หลากหลาย ควบคู่การยกระดับคุณภาพให้ได้มาตรฐาน อย. รวมทั้งอาจนำไปสู่การคิดค้นวิจัยพัฒนาสารสกัดจากส่วนต่างๆ ของไผ่เป๊าะ หรือหน่อไม๊เป๊าะ เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมกระดาษ ยา และเวชสำอางด้าน Circular – C Economy ปัจจุบันเกษตรกรในพื้นที่มีการนำเปลือกหน่อไม้เป๊าะมาเลี้ยงโคเนื้อ และมีโอกาสที่จะศึกษาวิจัยสารอาหารสำคัญที่มีในเปลือกหน่อไม้เป๊าะมาพัฒนาเป็นสูตรอาหารคุณภาพสูงที่เหมาะสมต่อการเลี้ยงโคขุน โคเนื้อ และด้าน Green – G Economy อาทิ การนำเศษวัสดุมาใช้ประโยชน์หรือนำกลับมาใช้ใหม่เพื่อลดของเสีย หรือมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม (ลดการเผา) อาทิ การส่งเสริมการทำถ่านไบโอชาร์เพื่อฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ให้กับดินที่ใช้ในการปลูกพืชต่างๆ หรือการนำใบไผ่ไปศึกษาวิจัยใช้ประโยชน์ ซึ่งเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อมควบคู่กับการสร้างรายได้เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ผู้อำนวยการ สศท.2 กล่าว

ทั้งนี้ แนวทางการพัฒนาหน่อไม้เป๊าะของกลุ่มในระยะต่อไป ต้องบูรณาการความร่วมมือจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ โดยมีแนวทางสำคัญคือ การผลักดันหน่อไม้เป๊าะให้เป็นสินค้าอัตลักษณ์ท้องถิ่นและขึ้นทะเบียนเป็นสินค้า GI การยกระดับกระบวนการผลิตสู่ระบบเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม (PGS) การพัฒนาตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ ควบคู่ไปกับการสร้างแบรนด์และพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้มีความโดดเด่นและดึงดูด นอกจากนี้ ควรส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากเศษวัสดุเหลือใช้จากต้นไผ่เป๊าะเพื่อแปรรูปเป็นพลังงานชีวภาพ (Biomass) รวมถึงส่งเสริมการปลูกไผ่เป๊าะในเชิงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ด้วยคุณสมบัติในการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อนำไปต่อยอดสู่การจำหน่ายในรูปแบบคาร์บอนเครดิตอย่างยั่งยืน หากท่านใดสนใจข้อมูลเพิ่มเติมสอบถามรายละเอียดได้ที่ สศท.2 โทร. 055-322-650 และ 055-322-658 หรืออีเมล zone2@oae.go.th