ปลื้ม!!โครงการยกระดับมาตรฐาน ดันมูลค่าสินค้าเกษตรปลอดภัยพุ่งเกือบ 20%


สศก. ชี้โครงการยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตร ปี 68 ช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรปลอดภัยเกือบ 20%
เมื่อวันที่ 24 ก.ย.68 นางธัญธิตา บุญญมณีกุล รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงความก้าวหน้าของโครงการยกระดับคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ซึ่งเป็นโครงการภายใต้แผนแม่บทย่อยเกษตรปลอดภัย มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาด้านมาตรฐานและการรับรองระบบงานสินค้าเกษตร ส่งเสริมองค์ความรู้การผลิตตามมาตรฐานสินค้าเกษตร ตรวจและรับรองสินค้าเกษตรให้เป็นไปตามมาตรฐานสินค้าเกษตร ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 มีเป้าหมาย ตรวจรับรอง เกษตรกร ผู้ประกอบการ และสถานประกอบการ 3 กลุ่มชนิดสินค้า (พืช ปศุสัตว์ ประมง) มีหน่วยงานร่วมขับเคลื่อนรวม 7 หน่วยงาน ซึ่งแบ่งตามภารกิจหลัก ได้แก่
ธัญธิตา บุญญมณีกุล รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
(1) การกำหนดและปรับปรุงมาตรฐานสินค้าเกษตร โดยสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (2) การส่งเสริมการผลิต โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ และกรมการข้าว ที่ช่วยให้เกษตรกรและผู้ประกอบการมีความรู้ความเข้าใจด้านการผลิตตามมาตรฐาน และ (3) การตรวจรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตร ซึ่งดำเนินการ โดยสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม กรมการข้าว กรมวิชาการเกษตร กรมปศุสัตว์ และกรมประมง
จากการติดตามและประเมินผลโดย สศก. พบว่า โครงการฯ สามารถดำเนินการได้ร้อยละ 73 ของเป้าหมายภาพรวม โดยมีผลการดำเนินงานในหลายมิติ อาทิ เกษตรกร ผู้ประกอบการ/สถานประกอบการ และผู้ตรวจรับรอง ได้รับการส่งเสริมองค์ความรู้ตามระบบมาตรฐานสินค้าเกษตรสูงถึง 8,290 ราย (คิดเป็นร้อยละ 129.69 ของเป้าหมายที่กำหนดไว้ 6,392 ราย) นอกจากนี้ ยังสามารถตรวจรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการได้แล้ว 21,827 ราย (คิดเป็นร้อยละ 41.98 ของเป้าหมาย 52,000 ราย) ครอบคลุมจำนวนแปลง 200,033 แปลง (คิดเป็นร้อยละ 131.60 ของเป้าหมาย 152,000 แปลง) และ 486 โรงงาน (คิดเป็นร้อยละ 81.00 ของเป้าหมาย 600 โรงงาน)
เมื่อพิจารณาในเชิงมูลค่าเศรษฐกิจ พบว่า โครงการนี้ช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรปลอดภัยได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยก่อนเข้าร่วมโครงการ เกษตรกรมีมูลค่าการผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัยโดยเฉลี่ยอยู่ที่รายละ 1.70 ล้านบาทต่อปี และเพิ่มขึ้นเป็นเฉลี่ย 2.04 ล้านบาทต่อปี หลังเข้าร่วมโครงการ คิดเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 19.97 หากจำแนกตามกลุ่มสินค้าจะเห็นผลที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
ได้แก่ สินค้าพืช (ทุเรียน มังคุด มะม่วง ข้าว ข้าวโพด พืชผัก) มีมูลค่าการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.62 โดยมีมูลค่าเฉลี่ยจาก 0.32 ล้านบาทต่อปี เป็น 0.35 ล้านบาทต่อปี สินค้าปศุสัตว์ (สุกร) มีมูลค่าการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.68 โดยมีมูลค่าเฉลี่ยจาก 8.94 ล้านบาทต่อปี เป็น 10.07 ล้านบาทต่อปี และ สินค้าประมง (กุ้งทะเล) มีมูลค่าการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 37.49 โดยมีมูลค่าเฉลี่ยจาก 9.52 ล้านบาทต่อปี เป็น 13.10 ล้านบาทต่อปี
อย่างไรก็ตาม จากการติดตามพบว่า เกษตรกรที่ยื่นขอรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรนั้น ร้อยละ 83.75 ได้รับการรับรองและสามารถนำใบรับรองไปใช้ประโยชน์ในการจำหน่ายผลผลิตได้จริง เช่น การส่งออกทุเรียน การจำหน่ายสินค้าปศุสัตว์และประมงแบบเกษตรพันธสัญญา ขณะที่อีกร้อยละ 9.38 อยู่ระหว่างรอผลการตรวจรับรองฯ ส่วนเกษตรกรที่ไม่ได้ยื่นขอรับรองมาตรฐานมีร้อยละ 6.87 ซึ่งมีสาเหตุมาจากข้อจำกัดหลายประการ เช่น ต้นทุนการปรับปรุงฟาร์มที่สูง ความไม่เห็นความสำคัญของมาตรฐานจากตลาดผู้รับซื้อ รวมถึงข้อจำกัดส่วนตัว อาทิ เอกสารสิทธิ์ หรือค่าใช้จ่ายในการขอรับรอง
รองเลขาธิการ สศก. กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อให้การดำเนินงานบรรลุวัตถุประสงค์อย่างเต็มที่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานในพื้นที่ที่มีหน้าที่ตรวจรับรอง เพื่ออำนวยความสะดวกแก่เกษตรกร รวมถึงการเชื่อมโยงกับภาคเอกชนเพื่อรองรับผลผลิตที่ได้มาตรฐาน GAP และสร้างการรับรู้ให้ผู้บริโภคเห็นคุณค่าของสินค้าเกษตร GAP นอกจากนี้ ควรหาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรให้สามารถขอรับรองมาตรฐานได้อย่างทั่วถึง
พร้อมทั้งให้ความรู้ในการป้องกันและควบคุมโรคระบาดและร่วมกันพิจารณามาตรการชดเชยความเสียหายให้แก่เกษตรกร โดย สศก.จะยังคงติดตามและประเมินผลโครงการอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันการดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมายต่อไป