“คนละครึ่งพลัส” เข้าเป้าหมาย กระตุ้นศก.ฐานรากภาคใต้ “2 เด้ง”


“คนละครึ่งพลัส” เข้าเป้าหมาย ฐานรากภาคใต้ “2 เด้ง” กำลังซื้ออ่อนแรง หน้าฝนไม่เกิดรายได้ เยียวยาฝ่าวิกฤติรอดหน้าฝนสั่งจองซื้อข้าวสารยกระสอบ “ค้าส่ง-SME” เฮตอบรับ “โครงการคนละครึ่ง” ฟันธง ได้ผลทั้งผู้ประชาชนผู้บริโภคและผู้ประกอบการ ชี้สภาพเศรษฐกิจที่อ่อนเพลีย แรงขับเคลื่อน “ตัวจริงเสียงจริงคือเครื่องจักร รัฐบาล”
เจ้าของร้านโชว์ห่วย ต.ตะโหมด อ.ตะโหมด จ.พัทลุง เปิดเผย ว่า มาตรการคนละครึ่งพลัส รัฐบาลฯพณฯ อนุทิน ชาญวีระกูล นายกรัฐมนตรี ที่มีผลใช้ในเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม 2568 จำนวน 2,000 บาท / คน ตรงเข้าเข้าเป้าโดยเฉพาะทางภาคใต้ ที่กำลังเข้าสู่ฤดูฝนในระยะอันใกล้นี้ และส่วนใหญ่ยังเป็นเกษตรกรอาชีพยางพาราบางตำบลบางหมู่บ้านกว่า 90 % ซึ่งในฤดูฝนจะไม่สามารถกรีดยางพารา และจะไม่ก่อให้เกิดมีรายได้
เมื่อมีมาตรการคนละครึ่งพลัส จะเป็นโอกาสที่จะผ่านอุปสรรคไปได้ประมาณ 2 เดือนในช่วงฤดูฝนพอดี เพราะจะได้ซื้อสินค้าบริการบริโภคในครัวเรือน โดยบางครัวเรือนตั้งเป้าและสั่งจองซื้อข้าวสารยกกระสอบแล้ว
“และตอนนี้ทราบว่าเอเย่นต์ร้านข้าวสารได้มีการสั่งข้าวสารมาสำรองไว้แล้วเป็นล๊อตใหญ่ในวงเงินเป็นล้านบาท เพื่อเอาไว้บริการ และร้านโชว์ห่วยก็จะได้ขายสินค้าที่ดีขึ้น”
นส.รอฮะห์ จิตรนารี แม่ค้าทำขนมบ้านควนอินนอโม หมู่ 7 เทศบาลตำบลเขาหัวช้าง อ.ตะโหมด จ.พัทลุง กล่าวว่า บัตรสวัสดิการแห่งรัฐทุกเดือนจะได้ใช้บริการสินค้าบริโภคจะได้ประโยชน์ในครัวเรือนมาก เช่น น้ำมันพืช ไข่ไก่ ปลากระป๋อง น้ำตาล เกลือ น้ำปลา กาแฟ ยาสีฟัน สบู่ และผงซักฟอก เป็นต้น
“และเมื่อได้ในโครงการคนละครึ่งพลัสเดือนละ 1,000 บาท เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 300 บาท จากที่ได้ซื้อสินค้าบริโภคในครัวเรือนที่ประจำอยู่แล้ว เมื่อมีการเติมเงินเข้ามาก็จะได้ซื้อเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะข้าวสาร ก็สามารถซื้อเพิ่มขึ้นได้เป็นกระสอบขนาด 40 กก. และจะสามารถดำรงอยู่ได้ตลอดทั้งเดือน สำหรับครัวเรือนขนาดเล็ก และมีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2 ใบ”
นายกวิศพงศ์ สิริธนนนท์สกุล เป็น กรรมการผู้จัดการ บริษัท เคแอนด์เค ซุปเปอร์สโตร์ เซาท์เทิร์น จำกัด (มหาชน) (KK) เปิดเผยว่า มาตรการคนละครึ่งพลัสรัฐบาล ฯพณฯ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เป็นมาตรการที่ดีมากทั้งผู้ประกอบการ และประชาชนผู้บริโภคให้การตอบรับที่ดี ซึ่งจะเหมาะสมมากกับเศรษฐกิจที่อ่อนตัวและผู้มีรายได้น้อยที่อ่อนแรง ที่รัฐบาลได้ให้เงินอุดหนุนช่วยเหลือครัวเรือน บุคคลให้ได้เข้าถึงสินค้าบริการที่จำเป็นและยังกระตุ้นเศรฐกิจเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ แม้ว่าจะเป็นช่วงในระยะสั่น ๆ ก็ตาม แต่ในฐานะผู้ประกอบการที่ใกล้ชิดกับประชาชนผู้บริโภค จึงให้มาตรการที่ดีนี้เดินต่อไปอีกจะเป็นระยะ ๆ ตามความเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจ
นายกวิศพงศ์ กล่าวอีกว่า เค แอนด์ เค ในฐานะผู้ประกอบการค้าปลีกค้าส่ง สภาพการแข่งขันทางด้านการตลาดจะขึ้นอยู่กับร้านค้าปลีกผู้ค้าปลีกที่ได้รับสินค้าจากผู้ค้าส่งเข้าไปยังพื้นที่ใกล้ชิดกับผู้บริโภค เพราะซัพพลายเออร์กับโรงงานไม่ได้มีการทำโปรโมชั่นแต่อย่างใดที่ยังดำเนินการตามปกติด้านการตลาด
“กับสภาพที่อ่อนแรง รัฐบาลจึงเป็นเครื่องจักรสำคัญ เพื่อกระตุ้นรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ รัฐบาลควรงัดกลยุทธออกมาใช้ เช่น 1. มาตรการคนละครึ่งพลัส 2. โครงการเที่ยวด้วยกัน ฯลฯ และให้เดินไปต่อ”
นายกร สุริยพันธุ์ ประธานสมาพันธ์ SME กลุ่มภาคใต้ชายแดน จ.สงขลา ปัตตานี ยะลา จ.นราธิวาส และประธานสมพันธ์ SME ไทยจังหวัดสงขลา เปิดเผยว่า โครงการคนละครึ่งพลัส รัฐบาล ฯพณฯ อนุทิน ชาญวีระกูล นายกรัฐมนตรี เป็นโครงการที่ดีและอยากให้เดินต่อเมื่อครบกำหนดแล้ว
สภาพเศรษฐกิจปัจจุบันที่กำลังซื้ออ่อนตัวทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภค เช่นนั้นเครื่องจักรที่เป็นแรงขับเคลื่อนหลักต้องเป็นรัฐบาลที่จะเกิดแรงขับเคลื่อนได้ และจะต้องมีกลยุทธที่หลากหลายเพื่อให้เกิดแรงขับเคลื่อนที่ต่อเนื่อง เพราะสภาพปัจจุบันภาวะลงทุนจากผู้ประกอบการ ค่อนข้างจะนิ่ง
“โครงการคนละครึ่งพลัสเป็นแรงขับเคลื่อนโดยตรงเข้าถึงประชาชนผู้บริโภคและผู้ประกอบการ และมียังมีการเติมเงินเพิ่มเติมเข้าไปด้วยจะขยายของเขตกว้างขึ้น”
นายกร กล่าวอีกว่า โครงการคนละครึ่งพลัสอยากให้ไปต่อเมื่อครบกำหนดแล้ว โดยเฉพาะเป้าหมายฐานราก ซึ่งเป็นวอลุ่มใหญ่ที่จะสามารถจะกระตุ้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปได้ที่จะไม่ให้นิ่ง ส่วนวอลุ่มระดับกลางและระดับบนนั้นจะไม่มากเท่า และมีค่าใช้ยังเป็นไปในระดับปกติในระดับวันละ 400 – 500 บาท เช่น ในกรุงเทพฯ เป็นต้น แต่วอลุ่มรากหญ้าเป็นขนาดใหญ่จะสามารถขับเคลื่อนกระตุ้นเศรษฐกิจได้กว้าง จึงยากให้รัฐบาลมีกลกยุทธในการขับเคลื่อนต่อที่จะเข้าถึงทั้งผู้ประกอบการและประชาชนผู้บริโภค.
นายกร กล่าวอีกว่า ส่วนกลยุทธของผู้ประกอบการและผู้ประกอบการค้ารายเล็กรายใหญ่ที่จะรวมตัวเป็นกลุ่มขนาดใหญ่เพื่ออำนาจต่อรองกับซัพพลายเออร์ โรงงานผลิต ไม่น่าจะเกิดเพราะผู้ประกอบการต่างมีคอนเนกชั่นกันอยู่แล้วกับซัพพลายเออร์ และโรงงานผู้ผลิตที่ตอบรับซึ่งกันและกันและลงตัวในแต่ละราย
“ถ้าผู้ประกอบการรวมตัวเพื่อให้เกิดอำนาจต่อรองกับซัพพลายเออร์ โรงงานผลิตสินค้าเพื่อจะได้ส่วนต่างส่วนต่างก็จะอยู่ในบรรทัดมาตรฐานเดียวกัน ปัจจุบันต่างคนต่างได้ส่วนต่างอยู่แล้วที่เหมาะลงตัวกับบริบทตลาดอยู่แล้ว”
นายกรกฎ เตติรานนท์ ประธานหอการค้ากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย (ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา) เปิดเผยว่า จากที่รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีนโยบายคนละครึ่งพลัส และในส่วนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สำหรับคนชายขอบนั้นมีค่ามาก และสามารถแก้ปัญหาได้และก็กระตุ้นเศรษฐกิจได้ในระดับหนึ่งที่ดี
ผศ.ดร.วิวัฒน์ จันทร์กิ่งทอง ผู้จัดการศูนย์วิจัย นวัตกรรมทางธุรกิจ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ รายงานผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนในภาคใต้ด้านเศรษฐกิจ โดยจากการสัมภาษณ์และรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและนักวิชาการในหลายสาขาอาชีพ โดยในสิ่งที่คาดหวังและต้องการซึ่งได้เสนอแนะต่อเพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจรัฐบาล
1. ประชาชนต้องการให้รัฐบาลใหม่ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในรูปแบบโครงการช้อปดีมีคืน หรือ Easy E-Receipt โดยประชาชนที่เป็นผู้ประกอบการธุรกิจต้องการให้เกิดการกระตุ้นการบริโภคในช่วงปลายปีมากขึ้น ในขณะที่ประชาชนที่เป็นผู้บริโภคต้องการนำค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าและบริการมาหักลดหย่อนภาษีได้
2. ตั้งแต่เกิดโควิด-19 ปัญหาหนี้ครัวเรือนและหนี้ของผู้ประกอบการรายย่อย เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่กัดกร่อนเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศมาจนถึงปัจจุบัน มองว่า ในระยะเวลาที่จำกัดรัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาหนี้ได้ทั้งหมด แต่ขอให้ช่วยบรรเทาภาระหนี้หรือพักชำระหนี้ในเบื้องต้น
3. ประชาชนต้องการให้รัฐบาลออกมาตรการช่วยลดค่าพลังงาน เช่น ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง และก๊าซหุงต้ม
4. ประชาชนและผู้ประกอบการท่องเที่ยว ต้องการให้รัฐบาลใหม่ออกมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการท่องเที่ยวภายในประเทศ เพื่อกระตุ้นบรรยากาศการท่องเที่ยวช่วงปลายปี
ผลคาดการณ์ในอีก 3 เดือนข้างหน้า พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่เชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และรายได้จากการทำงานเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 36.80 และ 32.10 ตามลำดับ ส่วนความเชื่อมั่นต่อรายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าอุปโภค บริโภคที่จำเป็นในครัวเรือน และรายจ่ายด้านการท่องเที่ยวในอีก 3 เดือนข้างหน้าเพิ่มขึ้น คิดเป็น ร้อยละ 33.80 และ 35.60 และการแก้ปัญหาเศรษฐกิจในอีก 3 เดือนข้างหน้าเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 32.80, 29.40 และ 32.80 ตามลำดับ.