ร้องโรงเรียนอินเตอร์ชื่อดังรับผิดชอบปมเพื่อนร่วมห้องปาลูกเทนนิสอัดเบ้าตาเจ็บสาหัส

ผู้ปกครองเด็ก 12 ปี แจ้งความโรงเรียนอินเตอร์ชื่อดังย่านวังทองหลาง ลูกชายถูกเพื่อนร่วมห้อง ปาลูกเทนนิสอัดเบ้าตา บาดเจ็บสาหัส หวั่นเป็นต้อหินในอนาคต จี้โรงเรียนรับผิดชอบ

เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2568 ที่ สน.วังทองหลาง นายกันตเมธส์ จโนภาส ทนายความ พร้อม คุณทราย แม่นักเรียนอายุ 12 ปี ผู้ปกครองของนักเรียนผู้เสียหาย โรงเรียนนานาชาติชื่อดัง ย่านวังทองหลาง เดินทางมาแจ้งความร้องทุกข์กรณี ลูกชาย อายุ 12 ปี ถูกเพื่อนร่วมห้องทำร้ายร่างกาย ด้วยปาลูกเทนนิสเข้าดวงตา เหตุเกิดในห้องเรียน โรงเรียนอินเตอร์ชื่อดัง ย่านวังทองหลาง กทม.
นายกันตเมธส์ จโนภาส ทนายความ กล่าวว่า วันนี้ตนพาผู้ปกครองของนักเรียนอายุ 12 ปี โรงเรียนนานาชาติชื่อดังย่านวังทองหลาง ที่ถูกเพื่อนร่วมห้องทำร้ายร่างกายด้วยการพาลูกเทนนิสใส่เข้าดวงตาเหตุเกิดเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2568

ด้านคุณทราย มารดา กล่าวว่า เหตุดังกล่าวเกิดเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2568 ภายหลังจากเหตุการณ์ตนได้พาลูกชายไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลซึ่งทางแพทย์วินิจฉัยตามใบรับรองแพทย์ว่า การตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล ครั้งแรก ยังพบว่ามีเลือดค้างข้างในลูกตาขวาเป็นปริมาณพอสมควร แต่เลือดหยุดแล้วกระจกตา เลนส์ตาปกติ มีจอประสาทตาบวมที่บริเวณรอบรอบมีความเสี่ยงในการที่เลือดจะออกซ้ำข้างในตา ในช่วง5-7วันแรก ยังต้องใช้ยาลดการอักเสบและตรวจอย่างใกล้ชิด ในระยะกลางและยาวจำเป็นต้องได้รับการประเมินเรื่องต้อหิน
เนื่องจากภาวะเลือดออกในลูกตาจากการถูกกระแทกแรงๆ เช่นนี้ สามารถก่อให้เกิดโรคต้อหินในภายหลังได้ โดยการประเมินน่าจะยืนยันได้ หลังจากลดและหยุดยาขยายม่านตาแล้วครบสามสัปดาห์ถึงหนึ่งเดือน ในกรณีที่มีความเสี่ยงต้อหินหรือเป็นต้อหินแล้วจำเป็นต้องได้รับการตรวจติดตามและ หรือรักษาไปตลอดชีวิต

คุณทราย มารดา กล่าวต่อว่า ตนได้สอบถามลูกชาย ตอนที่ทราบเรื่อง ตนไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นตอนไปเจอโรงพยาบาลน้องบอกว่าน้องปวดตาและเจ็บมาก ซึ่งหลังจากนั้นมาหลัง 2 อาทิตย์เพิ่งจะรู้ข่าวว่าผู้กระทำเป็นเด็กต่างชาติ มีความไม่พอใจอะไรบางอย่าง และผู้ก่อเหตุควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้ ซึ่งตนยืนยันว่าลูกของตนไม่ได้สร้างความเดือดร้อนหรือมีประเด็นวิวาทด้วย ซึ่งเมื่อดูจากกล้องวงจรปิดแล้วเด็กผู้ก่อเหตุมีเจตนาชัดเจนที่จะทำร้ายร่างกาย ซึ่งความรู้สึกของตนเมื่อดูกล้องวงจรปิดก็ไม่อยากจะดู เพราะมีความรู้สึกกระทบต่อจิตใจเมื่อลูกตนเองถูกทำร้าย
เมื่อสอบถามว่าปัจจุบัน ทางโรงเรียนได้มีมาตรการเข้มงวดเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยหรือไม่ คุณทราย มารดา กล่าวว่า ได้มีการสอบถามว่าโรงเรียนดังกล่าวเป็นโรงเรียนอินเตอร์ระบบจีน ซึ่งตอนเข้าไปสมัคร ก็ได้รับคำยืนยันเรื่องความปลอดภัย ระบบเซฟตี้เข้าออกโรงเรียน โดยครูประจำชั้นและครูประจำวิชาจะมีการเข้มงวดกวดขันเรื่องความปลอดภัย แต่พอลูกเข้าไปเรียนในโรงเรียน กลับมาบอกว่าโรงเรียนไม่มีความปลอดภัยและมีเหตุความรุนแรง

จนกระทั่งมาเกิดเหตุกับลูกของตน ซึ่งโรงเรียนระดับนี้ ควรจะมีความปลอดภัยมากกว่านี้ ซึ่งค่าเทอมประมาณ 600,000 บาทต่อปีการศึกษา พอเกิดเหตุแล้วทางโรงเรียนก็โต้ตอบช้ามาก ขาดการดูแลอย่างหนัก ซึ่งผู้ปกครองต้องเป็นคนตามเรื่องเอง ซึ่งขั้นตอนการติดต่อโรงเรียนไม่ค่อยราบรื่นและไม่มีความรับผิดชอบซึ่งลูกของตนก็สาหัสและเขาเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“ตอนนี้ตนมีความคิดว่าต้องหาโรงเรียนใหม่ จากระบบความปลอดภัยที่เกิดขึ้น ตนดูแลตัวเองรักษาเองมาตลอด ซึ่งโรงเรียนนี้ไม่น่าจะตอบโจทย์ ทั้งทีตนเสียค่าเทอมกว่า 6 แสนบาท แต่ได้รับการดูแลนักเรียนที่บกพร่อง กรณีดังกล่าวถือเป็นเคสตัวอย่าง” คุณทราย มารดา กล่าว

คุณทราย มารดา กล่าวต่อว่า โดยในปัจจุบันผลการดำเนินงานของโรงเรียนนั้นยังไม่มีอะไรคืบหน้า ที่ผ่านมาคู่กรณียังที่ทำร้ายร่างกายลูกของตนยังอยู่ในโรงเรียนเหมือนเดิม ไม่ได้ทำการไล่ออก แต่เพียงแค่สลับห้อง ตนมองว่านโยบายการจัดการแบบนี้ถือว่าเป็นการผิดข้อตกลงมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งทางแม่บอกว่าไม่ต้องการให้พบเจอแต่วันแรกที่น้องกลับไปเรียน ก็เจอคำถามจากโรงเรียรว่าน้องจะให้อภัยผู้ก่อเหตุหรือไม่ ซึ่งคำถามเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะทำ
“ตอนนี้ลูกตนมีผลกระทบทางด้านจิตใจเรื่องการกรณีดังกล่าวปัจจุบันลูกของตนยังมีอาการปวดตา และต้องรับการตรวจต่อเนื่องเพื่อป้องกันโรคต้อหิน ซึ่งปัจจุบันน้องอายุแค่ 12 ปีที่ไม่สมควรจะเจอเหตุการณ์เช่นนี้ ตนอยากฝากถึงโรงเรียนว่าโรงเรียนนี้ก็ชื่อเสียงและเป็นที่รู้จัก อยากให้โรงเรียนมีความรับผิดชอบต่อกรณีดังกล่าว ซึ่งเหตุการณ์ที่ผ่านมาที่จัดการของคุณไม่ได้มาตรฐานในการดูแลลูก ที่ผู้ปกครองไว้วางใจ โรงเรียนไม่ได้มีความปลอดภัยเสมอไป“ คุณทราย มารดา กล่าว

ด้านนายกันตเมธส์ จโนภาส ทนายความ กล่าวว่า สาเหตุในการแจ้งความในวันนี้ เพื่อต้องการความยุติธรรม ทางตำรวจบอกว่าเกิดเหตุเป็นเรื่องของเด็ก ให้ไปเป็นตามกฏหมายของเด็ก ซึ่งโทษดังกล่าวไม่ได้มีอะไรหนักมาก เหตุอะไรโรงเรียนจึงไม่ช่วยดูแลและละเลยจนเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวได้ หลังจากเกิดเหตุ ผู้ปกครองเป็นคนเดินเรื่องเองทั้งหมดซึ่งทางโรงเรียนไม่ได้มีการติดต่อเพื่อมาพบพูดคุยกับเหตุการณ์ดังกล่าว
นายกันตเมธส์ ทนายความ กล่าวทิ้งท้าย วันเกิดเหตุไม่มีครูประจำชั้น หรือครูที่ปรึกษาอยู่ในห้องเรียน จึงถือว่าเป็นการละเลยอย่างยิ่งในเรื่องของความปลอดภัย สำหรับการพกพาลูกเทนนิสนั้นก็ยังไม่รับคำตอบจากโรงเรียนว่าเด็กคู่กรณีนำเข้ามาได้อย่างไร

