ภาคพลเมืองชี้ปัญหาชายแดน-ความไม่สงบด้ามขวาน-ต่างชาติฮุบที่ดิน เชื่อนักการเมืองบางกลุ่มเกี่ยวข้อง

ภาคพลเมืองชี้ปัญหาชายแดน-ความไม่สงบด้ามขวาน-ต่างชาติฮุบที่ดิน เชื่อนักการเมืองบางกลุ่มเกี่ยวข้อง





Image
ad1

ภาคพลเมือง “เคลื่อนไหว “เชิงลึก” รณรงค์ “โหวตโน” ผวา”นักเลือกตั้ง  พัวพันบวนการสแกมเมอร์ คอลเซ็นเตอร์ ขายดินชายแดน เข้าแทรกแทรกการเมืองไทย

แหล่งข่าวระดับสูงในกลุ่มเครือข่ายเกษตรกรภาคใต้  เปิดเผยว่า แกนนำกลุ่มเครือข่ายเกษตรกรจำนวนหนึ่ง ได้เกาะติดและวิเคราะห์สถานการณ์ไทยว่า ขณะนี้ได้มีประเด็นที่คนไทยบางกลุ่มบางคน ได้มีส่วนพัวพันในขบวนการสแกมเมอร์ ขบวนการซื้อขายที่ดินชายแดนไทย-กัมพูชา

นอกนั้นยังมีปัญหาเรื่องของการก่อความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้  และเรื่องต่างชาติอพยพหนีสงครามในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย  ฯลฯ 

“ทุกประเด็นต่างมีเชิงลึกว่าบุคคลบางคนบางกลุ่มโดยเฉพาะในเครือข่ายข่ายนักเลือกตั้งบางกลุ่มบางคน ได้มีส่วนเข้าไปพัวพัน และจะเป็นพฤติกรรมที่ส่อเค้าแทรกแซงที่จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและอธิปไตยของประเทศ”

แหล่งข่าว กล่าวว่า ปัญหาการขายที่ดินพื้นที่ชายแดนไทย กัมพูชา  ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัญหาชาวต่างชาติอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทยตามพื้นที่ต่าง ๆ แล้วกว้านซื้อที่ดิน ทำธุรกิจตัวใช้ตัวแทนชาวไทย  เช่น ปาย จ.แม่ฮ่องสอน เกาะสมุย เกาะพะงัน จ.สุราษฏร์ธานี และ จ.ภูเก็ต ฯ

แหล่งข่าว กล่าวว่า ที่น่ากังวลมากคือ เกาะพะงัน เกาะสมุย และปาย ฯลฯ  ต่างเป็นชาวต่างชาติ ที่ได้อพยพมาตั้งถิ่นฐานลงทุนทำธุรกิจประกอบอาชีพมาหลายปี กลุ่มนี้ส่วนหนึ่งเป็นกลุ่มอพยพหนีสงครามในประเทศอิสราเอล

“ผู้อพยพต่างระบุว่าอิสราเอลเสียหายทุกส่วนมากในปัจจุบันและอนาคตจะราบคาบ จึงจำเป็นต้องอพยพออกมาเพื่อเป็นการรักษาเผ่าพันธุ์”

และน่ากังวลมากเพราะขาดความเชื่อมั่นเพราะพฤติกรรมเป็นที่ประจักษ์พยานทั้งโลก อนาคตที่จะส่งผลกระทบต่อคนไทยต่ออาชีพ ต่อพื้นที่ เพราะต่างรับทราบพฤติกรรมไปทั่วโลก 

“ทุกกรณีต่างที่จะเป็นภัยต่อความมั่นคงและอธิปไตยของประเทศ จำเป็นที่ผู้หน้าที่จะต้องมีการการตรวจสอบรอบด้านเข้มข้นสูงสุดและจะต้องดำเนินการอย่างเบ็ดเสร็จ”

ภาคพลเมืองในระดับแกนนำ จึงได้รวมตัวกันประชุมเสวนามาอย่างต่อเนื่องไปทั่วทุกภูมิภาค โดยได้สรุปถอดบทเรียนว่ามีนัการเมืองจำนวนหนึ่งไม่สามารถจะพึงพาได้อีก และได้เกิดกระแสแรงจากประชาชนที่ตื่นตัวไปทั่วประเทศ จึงได้สรุปว่าจะต้องกีดกันประเภทนักเลือกตั้งออกไปจากการเมืองที่จะเข้าไปแสวงหาอำนาจโดยการแทรกแซงการเมืองเพื่อผลประโยชน์

ภาคพลเมือง จึงมีความเห็นว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกันประเภทนักเลือกตั้งออกไป โดยจะลงลึกเข้าสู่ฐานรากฐานล่างทำความเข้าใจอย่างรอบด้านให้เห็นถึงภัยพิบัติที่อาจจะเกิดขึ้น หากพวกนักเลือกตั้งเข้าไปในสภาผู้แทนราษฎรและฝ่ายบริหาร อาจจะถูกแทรกแซงโดยได้รับการสนับสนุนจากพัวพันอาชญากรรมเศรษฐกิจ 

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการป้องกันกลุ่มนักเลือกตั้งออกไป ภาคพลเมืองจะต้องตัดสินด้วยวิธีการโหวตโน คือไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งโดยไม่ประสงค์จะเลือก เป็นการดำเนินการที่ถูกต้องตามกฎหมายไม่ให้คนประเภทเป็นนักเลือกตั้งเข้าไปในสภาผู้แทนราษฎร (สส.) และไปเป็นผู้บริหารปกครองประเทศ ทั้งนี้จะได้ป้องกันปกปักรักษาความมั่นคงและอธิปไตยของประเทศเอาไว้ได้

แหล่งข่าว กล่าวว่า ต้องเลือกคนดีกันคนไม่ดีออกไป โดยมีการณรงค์ลงลึกทำความเข้าใจ 1 / 4 และ 4 / 16 เป็นกลไกลูกโซ่ ซึ่งจะสามารถดำเนินการทางโชเชียล และช่องทางอื่น ๆ ที่สามารถดำเนินการได้

“ขณะนี้ในกลุ่มเครือข่ายมีทั้งภาคเกษตรกร พ่อค้าแม่ค้า ผู้ประกอบการ แรงงาน ประมาณ 7 ล้านคน ทั่วประเทศ หากโดยจะรณรงค์ให้ได้มากที่สุดถึงขั้นเท่ากับที่เป็นสมาชิกพรรคการเมืองบางพรรคที่มีอยู่”

แหล่งข่าว ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ภาคพลเมืองได้วิเคราะห์เจาะลึกสรุปว่า ภาคประชาชน หากสามารถรณรง์ไปใช้สิทธิ์ลงคะแนนโหวตโนเพื่อกันนักเลือกตั้งให้ได้ถึง 30 % จะกันได้จากเแต่ละเขตจะมีผู้มีสิทธิ์ประมาณ 120,000 คน / เขต และที่มาใช้สิทธิ์ ประมาณ 100,000 คน โดยมีว่าที่ผู้สมัครเฉลี่ย 4 คน / เขต หาร 4  คะแนนเฉลี่ยรายละ 25,000  คน ซึ่งเมื่อมีผู้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง โหวตโน 30 %  นักเลือกตั้งก็จะตกไป

“แต่ผู้ใช้สิทธิ์เลือกตั้ง จะต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน ต้องป้องกันคนดีแล้วกันคนไม่ดีออก ยังมีว่าที่ผู้สมัครคนดีมีอยู่เป็นจำนวนมากกว่า จะต้องสนับสนุนให้ได้คนดีมาปกครองบริหาร” แหล่งข่าว ระบุ

นายทศพล ขวัญรอด ประธานภาคีเครือข่ายชาวสวนยางพาราและสวนปาล์มน้ำมัน (คยปท.) กล่าวว่า ภาวะการเมืองที่ผ่านมามีนักเลือกตั้งและนักการเมืองจิตวิญญาณ มีน้ำดีและน้ำเสีย จะต้องแยกน้ำเสียออกจากน้ำดี หาไม่แล้วน้ำดีก็จะถูกเซาะซึมและจะกลายเป็นน้ำเสีย ดังนั้นทางเครือข่ายเกษตรกรและในทุกสาขาอาชีพจะได้กันคนไม่ดีออกไปโดยการใช้สิทธิ์เลือกตั้งการลงคะแนนไม่ประสงค์จะเลือกใครหรือโหวตโนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 85 อันเป็นกฎหมายสูงสุด

“เป็นการใช้สิทธิ์ตามกฎหมาย การใช้สิทธิ์ลงคะแนนโหวตโน เป็นการกันนักเลือกตั้ง เป็นการป้องกันไม่ให้เข้าไปในสภา ไปเป็นผู้บริหารและเป็นผู้ปกครอง เพราะหากนักเลือกตั้งเข้าไปแล้วอาจจะถูกแทรกแซงจากในบางกลุ่มผลประโยชน์ ก็จะเกิดเหม็นเหม่ที่อาจจะทำให้ประเทศเสียอธิปไตยเสียดินแดนได้”

นายทศพล กล่าวว่าอีก จะต้องตื่นตัวเพื่อกันนักเลือกตั้งออกไปจากการเมือง แล้วร่วมกันยืนหยัดเอานักการเมืองจิตวิญญาณซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก เพื่อหน้าแผ่นดินประเทศชาติและประชาชน เข้าไปเป็น สส. เป็นผู้บริหารและผู้ปกครองประเทศและเพื่อรักษาอธิปไตย.