Hungry Hub (ฮังกรี้ ฮับ) ผู้นำแพลตฟอร์มจองร้านอาหารและโรงแรมออนไลน์แบบ One Stop Service อันดับหนึ่งของไทย จัดงานประกาศรางวัล “Hungry Hub Red Table Awards 2025” เพื่อยกย่องและเชิดชูพันธมิตรธุรกิจร้านอาหารและโรงแรมระดับแนวหน้า ที่ร่วมสร้างประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมตลอดปี จัดเต็มรางวัลอันทรงเกียรติกว่า 48 รางวัล ครอบคลุมทุกรูปแบบ ตั้งแต่ Best Chain Restaurant, Best Rooftop Restaurant, Best Fine Dining ไปจนถึง Rising Star Award อีกทั้งยังมีรางวัลใหม่สำหรับร้านอาหารที่ทำยอดขายสะสมผ่าน Hungry Hub ครบ 50 และ 100 ล้านบาท พร้อมกันนี้ยังถือโอกาสประกาศความสำเร็จของ Hungry Hub ในปี 2025 มุ่งสู่การเป็น Online Travel Agent (OTA) สำหรับร้านอาหารระดับโลก ปลายปีนี้ ลุยตลาดใหม่อย่างมาเลเซีย พร้อมเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ การตั้งราคาแบบยืดหยุ่น (Dynamic Pricing) ตามดีมานด์ ตัวช่วยใหม่ในการเพิ่มยอดขายอย่างยั่งยืนให้กับร้านอาหาร

นายสุรสิทธิ์ สัจจะเดว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Hungry Hub กล่าวถึง ที่มาของการจัดงาน “Hungry Hub Red Table Awards 2025” ว่า เพื่อเป็นการยกย่องพันธมิตรที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างประสบการณ์การรับประทานอาหารและการบริการอันยอดเยี่ยม โดยในปีนี้ยังคงให้ความสำคัญกับเกณฑ์การตัดสินรางวัล คัดเลือกผ่านกระบวนการที่พิถีพิถันและคัดสรรมาอย่างดี อิงจากยอดจองสูงสุดในแต่ละหมวดหมู่ร้านอาหารตลอดปีที่ผ่านมา โดยร้านอาหารและโรงแรมพันธมิตรกว่า 2,500 แห่ง อีกทั้งปีนี้ Hungry Hub ได้เพิ่มรางวัลพิเศษ นั่นคือ Milestone Award รางวัลสำหรับพันธมิตรร้านอาหารที่ทำยอดขายได้ถึง 50 และ 100 ล้านบาท ตั้งแต่เริ่มเป็นพันธมิตรกับ Hungry Hub
“ทั้งสองรางวัลนี้นอกจากจะเป็นการเฉลิมฉลองความสำเร็จให้กับพันธมิตรร้านอาหาร ยังเป็นบทพิสูจน์ที่สะท้อนให้เห็นว่า Hungry Hub เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยเพิ่มยอดขายให้กับร้านอาหาร พร้อมสร้างความมั่นใจให้กับทั้งร้านค้าพันธมิตรเดิมและร้านค้าใหม่ๆ ที่สนใจมาร่วมมือกับ Hungry Hub ผลักดันให้อุตสาหกรรมอาหารและการบริการเติบโตไปอีกขั้น”

ภายในงาน ยังมีการมอบรางวัลกว่า 48 รางวัลจาก 10 ประเภท ครอบคลุมทุกมิติของอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ อาทิ
⦁Best Chain Restaurant Awards รางวัลสำหรับเครือร้านอาหารที่รักษามาตรฐานสูงสุดได้อย่างต่อเนื่อง
⦁Best Rooftop Restaurant Awards รางวัลสำหรับร้านอาหารที่มอบประสบการณ์การรับประทานอาหารพร้อมวิวเหนือระดับ
⦁Best Fine Dining and Course Menu Awards รางวัลที่เฉลิมฉลองความหรูหราและใส่ใจในรายละเอียด
⦁Best Hotel Restaurant Awards รางวัลสำหรับร้านอาหารในโรงแรมที่มีคุณภาพการบริการและประสบการณ์การรับประทานอาหารยอดเยี่ยม
⦁Best Tourist Destination Restaurant Awards รางวัลสำหรับร้านอาหารที่เป็นสถานที่ที่ไม่ควรพลาดสำหรับนักท่องเที่ยว
⦁Best Buffet Restaurant Awards รางวัลสำหรับร้านบุฟเฟต์ที่รักษามาตรฐานสูงสุดและมีความหลากหลายในการนำเสนออาหาร
⦁Restaurant Rising Star Awards รางวัลสำหรับร้านอาหารที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วและมีศักยภาพโดดเด่นในวงการ
⦁Hungry Hub 100 Million Baht Milestone Award รางวัลสำหรับพันธมิตรร้านอาหารที่ทำยอดขายได้ถึง 100 ล้านบาท
⦁Hungry Hub 50 Million Baht Milestone Award รางวัลสำหรับพันธมิตรร้านอาหารที่ทำยอดขายได้ถึง 50 ล้านบาท
⦁Top Performance Blogger Awards รางวัลสำหรับบล็อกเกอร์ที่มีผลงานโดดเด่นและได้รับความนิยมในวงการอาหารและการท่องเที่ยว

โดยมีร้านที่โดดเด่นได้รางวัล อาทิ Copper Beyond Buffet, เจริญรุ่งเรือง, Great Harbour International Buffet, Kimpton Maa-Lai Bangkok, Hotaru 119 Omakase, Vertigo Rooftop และ Oishi Eaterium ภายในงานยังมีพาร์ตเนอร์จากร้านอาหารและโรงแรมชั้นนำมากกว่า 300 รายเข้าร่วม อาทิร้านอาหาร Audrey Cafe ร้านอาหารเสน่ห์จันทน์, โรงแรม Bangkok Marriott Hotel Sukhumvit , Jim Thompson, A Thai Restaurant รวมถึงบล็อกเกอร์ชื่อดัง อาทิ เชื่อกู กูแดกมาแล้ว, เงินจ๋าขอลาก่อน - Goodbye money,กุ้งจังตะลอนกิน และอีกมากมาย
กางโรดแมป Hungry Hub 2026 สยายปีกสู่ระดับภูมิภาค
สำหรับกลยุทธ์ในปี 2026 นายสุรสิทธิ์ ย้ำว่า Hungry Hub ยังคงเดินหน้าสู่การเป็น Online Travel Agent (OTA) สำหรับร้านอาหารระดับโลก หลังจากประสบความสำเร็จในการขยายตลาดไปยังสิงคโปร์เมื่อปีที่แล้ว ภายในปีเดียว สามารถขยายพันธมิตรร้านอาหารเป็น 250 ร้านค้า คาดว่าจะสร้างยอดขายให้ร้านอาหารที่สิงคโปร์ถึง 20 ล้านบาท และจะแตะ 100 ล้านในปีหน้า ส่วนในปลายปีนี้ จะขยายตลาดไปที่มาเลเซีย ซึ่งปัจจุบันมีพันธมิตรร้านค้าประมาณ 50 ร้านค้า พร้อมตั้งเป้าว่าจะในปีหน้าจะขยายธุรกิจไปยัง 2-3 ประเทศ ซึ่งกลยุทธ์การขยายตลาดต่างประเทศ นอกจากจะเป็นการสร้าง Network Effect ที่ทรงพลังให้ธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ยังเป็นหนึ่งในก้าวสำคัญของการเติบโตจากบริษัทไทยสู่บริษัทระดับภูมิภาคในอนาคต

นอกจากแผนขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ ในปีนี้ Hungry Hub ยังได้มีการเปิดตัว 2 ฟีเจอร์ใหม่ ที่ช่วยเสริมประสบการณ์การใช้งานให้ดียิ่งขึ้น ได้แก่ ฟีเจอร์การแสดงผลหลายสกุลเงิน (Multi-currency) ช่วยให้นักท่องเที่ยวเห็นราคาในสกุลเงินของตนเอง ซึ่งทำให้การตัดสินใจในการจองสะดวกและง่ายขึ้น โดยไม่ต้องคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนเอง ฟีเจอร์การตั้งราคาแบบยืดหยุ่น (Dynamic Pricing) ตามดีมานด์ของลูกค้า ช่วยให้เจ้าของร้านสามารถตั้งราคาได้ตามดีมานด์ของลูกค้า เช่น การตั้งราคาเพิ่มขึ้นตามจำนวนที่นั่ง (เช่น ทุก 10 ที่นั่ง เพิ่ม 5%) หรือการปรับราคาในช่วงเทศกาล (เช่น วาเลนไทน์, สงกรานต์) นอกจากนี้ยังมีระบบ AI ที่ช่วยแนะนำการปรับราคา โดยสามารถเลือกได้ว่าจะให้ AI ปรับราคาอัตโนมัติหรือให้เจ้าของร้านเป็นผู้อนุมัติการปรับเปลี่ยนราคาเอง
“Dynamic Pricing เป็นฟีเจอร์ที่เข้ามาทลายขีดจำกัดเดิมๆ ของร้านอาหาร ให้สามารถตั้งราคาได้อย่างยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนได้ทุกวัน ทุกเวลา หรือทุกนาที คล้ายๆ กับเวลาเราจองตั๋วเครื่องบินหรือที่พัก ถ้าเป็นช่วงพีค มีความต้องการสูง ราคาก็สูงตาม ผมมองว่า ถ้านำมาปรับใช้กับร้านอาหาร จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเพิ่มยอดขายและจัดการกับดีมานด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ร้านอาหารมิชลินหรือร้านที่มียอดจองเต็มตลอดเวลา สามารถเลือกเพิ่มราคา 30% สำหรับ 10 ที่นั่งสุดท้าย เพื่อเพิ่มมูลค่าจากดีมานด์ที่สูง หรือ ในวันศุกร์ที่ปกติจะมีการจอง 50 ที่นั่ง แต่หากฝนตกและมีการจองแค่ 10 ที่นั่ง ร้านก็สามารถลดราคา เพื่อดึงดูดลูกค้าให้มาทานมากขึ้น”

นายสุรสิทธิ์ ยังกล่าวด้วยว่า ปัจจุบัน Hungry Hub มีร้านค้าพันธมิตรในไทย 2,200 ร้านค้า และตั้งเป้าว่าจะเพิ่มเป็น 3,000 ร้านค้าทั่วไทยในปีหน้า และแม้ว่าในปีที่ผ่านมา ธุรกิจอาหารจะเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน Hungry Hub ยังสามารถช่วยพันธมิตรร้านอาหารสร้างรายได้กว่า 4,000 ล้านบาท และรักษาฐานผู้ใช้งานแอปพลิเคชันกว่า 1 ล้านคนต่อเดือน โดยปัจจุบันลูกค้าต่างชาติคิดเป็นเกือบ 30-40% ของยอดขาย ลูกค้าหลักมาจากเอเชีย เช่น ฮ่องกง, สิงคโปร์, เกาหลีใต้, มาเลเซีย, และไต้หวัน
“หมุดหมายสำคัญของ Hungry Hub ในอนาคต คือ การเป็นบริษัทไทยที่เติบโตในระดับภูมิภาค ในฐานะ Online Travel Agent (OTA) สำหรับวงการร้านอาหาร ที่ไม่เพียงแค่ตอบโจทย์ด้านการจองร้านอาหารเท่านั้น แต่ยังพร้อมยกระดับประสบการณ์การกินและการท่องเที่ยวให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์นักเดินทางยุคใหม่ สร้างประสบการณ์การกินและการเดินทางระดับโลกอย่างไร้รอยต่อ ผ่านการทำงานร่วมกับพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมโยงและให้บริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยวในยุคปัจจุบัน”