คปภ.ชู “ปราจีนยืนหนึ่ง” ต้นแบบลดอุบัติเหตุต่อยอดสู่จังหวัดอื่นลุยยกระดับความปลอดภัยระดับประเทศ

คปภ.ชู “ปราจีนยืนหนึ่ง” ต้นแบบลดอุบัติเหตุต่อยอดสู่จังหวัดอื่นลุยยกระดับความปลอดภัยระดับประเทศ





Image
ad1

ปราจีนบุรี– คปภ. แถลงผลสำเร็จโครงการ “ปราจีนยืนหนึ่ง” ชูโมเดลพื้นที่ต้นแบบลดอุบัติเหตุดันประกันภัยรถภาคบังคับเข้าถึงทุกครัวเรือน เดินหน้าต่อยอดสู่จังหวัดอื่น ขับเคลื่อนเป้าหมายความปลอดภัยระดับประเทศ

เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.ปราจีนบุรี  สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) นำโดย นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการ คปภ. ร่วมกับนายวีระพันธ์ ดีอ่อน ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี ภาคธุรกิจประกันภัย และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) จัดงานแถลงข่าวผลสำเร็จ “ปราจีนยืนหนึ่ง สรุปและต่อยอดถนนปลอดภัย… “จากผลสำเร็จ...สู่การต่อยอดถนนปลอดภัย ด้วยพลังประกันภัยรถภาคบังคับ” ณ วิทยาลัยเทคนิคปราจีนบุรี อ.เมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี

นายวีระพันธ์ ดีอ่อน ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี

เพื่อนำเสนอผลการดำเนินงานตลอดปี 2568 ตั้งแต่การเก็บข้อมูลเชิงลึก การวิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงทางถนน การออกแบบมาตรการลดอุบัติเหตุ ตลอดจนการรณรงค์ด้านความปลอดภัยและการส่งเสริมการทำประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) เพื่อเตรียมขยายผลไปยังจังหวัดอื่นต่อไป

เลขาธิการ คปภ. ได้แถลงผลความสำเร็จโครงการสร้างพื้นที่ต้นแบบด้านความปลอดภัยทางถนนและการรณรงค์ประกันภัยรถภาคบังคับ ประจำปี 2568 ชี้มาตรการเชิงรุกช่วยลดอุบัติเหตุทางถนน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ขับขี่จักรยานยนต์ ขณะเดียวกันประชาชน เยาวชน และแรงงาน มีความตื่นตัวเรื่องความปลอดภัยและการทำประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) มากขึ้น สะท้อนพลังความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ที่ร่วมผลักดันให้จังหวัดปราจีนบุรีก้าวสู่ “พื้นที่ต้นแบบถนนปลอดภัย” และต่อยอดสู่เป้าหมายระดับประเทศ

โดยชูผลสำเร็จ “4 กลยุทธ์ 7 มาตรการ” ลดอุบัติเหตุได้จริง โดยได้กล่าวถึงผลสำเร็จของโครงการที่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของสำนักงาน คปภ. ที่ต้องการให้ระบบประกันภัยทำหน้าที่เป็น “กลไกสำคัญของการคุ้มครองประชาชน” การขยายความคุ้มครองของประกันภัยรถภาคบังคับให้เข้าถึงทุกครัวเรือนอย่างเท่าเทียม 

โครงการพื้นที่ต้นแบบจังหวัดปราจีนบุรี นับเป็นตัวอย่างสำคัญของการบูรณาการทุกภาคส่วน จนเกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม ทั้งการลดพฤติกรรมเสี่ยงและการเพิ่มอัตราการทำประกันภัยรถภาคบังคับในกลุ่มเยาวชน แรงงาน และผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงหลักของจังหวัด

ความร่วมมือในครั้งนี้ทำให้จังหวัดปราจีนบุรีก้าวเป็นพื้นที่ต้นแบบถนนปลอดภัยและประชาชนให้ความสำคัญกับการทำประกันภัยรถภาคบังคับ เพื่อลดความสูญเสียของประชาชนอย่างยั่งยืน ซึ่งจะเป็นแนวทางสำคัญสำหรับการขยายผลไปยังพื้นที่จังหวัดอื่น ๆ ต่อไป    

“สำนักงาน คปภ. มีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะนำ“โมเดลมาตรฐาน” ที่ได้ผลจริงในพื้นที่ต้นแบบแห่งนี้ ไปขยายผลสู่จังหวัดอื่นทั่วประเทศ และพร้อมสนับสนุนองค์ความรู้และการพัฒนาเครื่องมือเพื่อไปสู่เป้าหมายสูงสุดของเรา คือ การลดอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนของประเทศให้เหลือ 12 คนต่อประชากรแสนคนภายในปี 2570 และทำให้ระบบประกันภัยรถภาคบังคับทำหน้าที่เป็น “หลักประกันของทุกคน” อย่างแท้จริง”

ด้าน นายวีระพันธ์ ดีอ่อน ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี กล่าวถึงความร่วมมือภายในจังหวัดว่า ความสำเร็จครั้งนี้เกิดจากพลังของทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สถานประกอบการ สถานศึกษา และประชาชนในพื้นที่ พร้อมแสดงวิสัยทัศน์ว่า “จังหวัดปราจีนบุรีต้องก้าวสู่เมืองต้นแบบถนนปลอดภัยอย่างยั่งยืนในปี 2569–2570 และเป็นจังหวัดนำร่องให้พื้นที่อื่นสามารถนำแนวทางไปประยุกต์ใช้ได้จริง” 

ทางจังหวัดร่วมกับสำนักงาน คปภ. เครือข่ายของทาง คปภ. เกี่ยวกับเรื่องการรณรงค์ผู้ใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย หรือ 1. เรื่อง ของอุปกรณ์นิรภัย การ สวมใส่เพื่อลดการบาดเจ็บและการสูญเสีย 2. เรื่องการรณรงค์ผู้ใช้ลดใช้ถนนมีวินัยการจราจรรวมทั้งรณรงค์ให้ทำประกันรถทุกคันภาคบังคับ เมื่อเวลาเกิดอุบัติเหตุประกันภัยภาคบังคับนี้เป็นการลดรับรองเพื่อที่จะได้รับการรักษาพยาบาลรวมทั้งการเยียวยาข้อตกลงต่างๆของประกันภัย

 ฉะนั้นอยากจะให้ทุกคนมีวินัยมานานแล้ว อยากให้การจราจรเพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุลดการสูญเสียรวมทั้งกรณีที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่ออุบัติเหตุเกิดการสูญเสียอย่างน้อยก็ยังมีประกันภัยภาคบังคับรองรับและดูแลเยียวยาพี่น้องประชาชนภาคภาคีเครือข่ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งมีประโยชน์ สำหรับประชาชน  นายวีระพันธ์กล่าว

ด้าน ดร.สุเมธ องกิตติกุล ผู้อำนวยการวิจัยด้านนโยบายการขนส่งและโลจิสติกส์ TDRI สรุปผลว่าตลอด 5 เดือนของการดำเนินโครงการ ได้กำหนดกลยุทธ์และชุดมาตรการลดเสี่ยงสำหรับลดอุบัติเหตุทางถนนใน จังหวัดปราจีนบุรี ได้ทดลองรณรงค์สื่อสารและทำแผนแก้ไขปัจจัยเสี่ยง จนนำมาสู่ข้อเสนอนโยบายสาธารณะและแผนใน 2 ปีถัดไป

พร้อมข้อเสนอแนวทางความร่วมมือระหว่างภาคส่วนรวมทั้งภาคธุรกิจประกันภัย เพื่อขยายผลสำเร็จในจังหวัดอื่น ๆ ได้อีกทั่วประเทศ และได้กล่าวถึงผลลัพธ์ “4 กลยุทธ์ 7 มาตรการ” ว่า เกิดจากการวิจัยและลงพื้นที่ต่อเนื่องร่วมกับสำนักงาน คปภ. โดยได้ดำเนินการในปี 2568 แล้ว 3 มาตรการ ได้แก่
 1. มาตรการสื่อสารสาธารณะเกี่ยวกับความปลอดภัยทางถนนใน 3 อำเภอนำร่อง ได้แก่ เมืองปราจีนบุรี ศรีมหาโพธิ และกบินทร์บุรี ทำให้ประชาชนจำข้อความ “สวมหมวกนิรภัยทุกครั้งเมื่อใช้รถจักรยานยนต์” ได้ถึงร้อยละ 81  และบางส่วนตอบรับว่ามีผลต่อการเปลี่ยนพฤติกรรม
 2. มาตรการสร้างโรงเรียนต้นแบบความปลอดภัยทางถนน โดยคัดเลือก 5 สถานศึกษา และจัดกิจกรรม Road Safety Week ให้นักเรียนกว่า 500 คน โดย เยาวชนมีความรู้และความเข้าใจเรื่องความปลอดภัยทางถนน เพิ่มขึ้นจาก 84% เป็น 94% และมีผู้เข้าร่วมทำ พ.ร.บ. เพิ่มขึ้นถึง 39% รวมถึงใส่หมวกนิรภัยเพิ่มขึ้นอีก 12% 
 3. มาตรการสถานประกอบการใส่ใจความปลอดภัยในนิคมอุตสาหกรรม 304 ด้วยการจัดอบรม Road Safety Day ให้สถานประกอบการกว่า 70 แห่ง และทำให้ แรงงานในสวนอุตสาหกรรม 304 เข้าถึงการทำประกันภัยรถภาคบังคับมากขึ้น

ซึ่งการดำเนินมาตรการทั้ง 3 มีเป้าหมายลดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินลงอย่างเป็นรูปธรรม ลดภาระค่ารักษาพยาบาลฉุกเฉิน ลดการสูญเสียกำลังแรงงานซึ่งเป็นฐานสำคัญของเศรษฐกิจ และลดความเสียหายเชิงสังคมในระยะยาว ต่อจากนี้ยังมีอีก 4 มาตรการสำหรับการวางรากฐานในปี 2569 - 2570 ที่ภาคีเครือข่ายต้องร่วมเดินหน้าต่อ เพื่อเพิ่มอัตราการสวมหมวกนิรภัย เพิ่มทักษะขับขี่ การทำใบขับขี่ในกลุ่มเยาวชน การชะลอความเร็ว ลดพฤติกรรมเสี่ยงและการทำประกันภัยภาคบังคับอย่างครอบคลุมยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ผลลัพธ์เกิดขึ้นอย่างยั่งยืนในระยะยาว ในด้านข้อเสนอเชิงนโยบาย ดร.สุเมธ องกิตติกุล เสนอให้มีการบรรจุโครงการฯ เข้ากับนโยบายและยุทธศาสตร์ความปลอดภัยทางถนน จังหวัดปราจีนบุรี สร้างเครือข่ายความร่วมมือรัฐ-เอกชนต่อเนื่อง ใช้กลไกกองทุนทดแทนฯในการสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุ และพัฒนาระบบข้อมูลและนวัตกรรมเพื่อร่วมกันแก้ปัญหา

ขณะที่ภาคธุรกิจประกันภัยจะมีบทบาทสำคัญในการขยายผลสู่ระดับประเทศ โดยการสนับสนุนงบประมาณและอุปกรณ์ เพื่อความปลอดภัยทางถนน สื่อสารและรณรงค์ในพื้นที่และร่วมเป็นเครือข่ายผู้ดำเนินการ ซึ่งผลลัพธ์ในที่เกิดขึ้นจากโครงการนี้ สะท้อนว่าภาคธุรกิจประกันภัย ไม่เพียงแต่รับผิดชอบดูแลในส่วนของการประกันภัยหลังเกิดเหตุเท่านั้น แต่ยังสร้างกลไกสำคัญคุ้มครองประชาชนด้วยการป้องกันและรณรงค์ลดอุบัติเหตุได้อย่างเป็นรูปธรรมอีกด้วย

จากนั้น เลขาธิการ คปภ. และ ผู้ว่าราชการจังหวัดได้ร่วมมอบเกียรติบัตรแก่สถานศึกษาและนิคมอุตสาหกรรมที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนโครงการ

โดย...มานิตย์ สนับบุญ  /ณัฐนันท์– ภาพ / ปราจีนบุรี###