รู้จัก!!! คุณหมอ “พลศิริ” แพทย์แผนจีน ผู้ปิดทองหลังพระอุทิศตนเพื่อผู้ป่วย

รู้จัก!!!  คุณหมอ “พลศิริ” แพทย์แผนจีน ผู้ปิดทองหลังพระอุทิศตนเพื่อผู้ป่วย





Image
ad1

เส้นทางชีวิตบางคนออกแบบไม่ได้ ว่าสักวันหนึ่งมีความมุ่งมั่นเมื่อจบการศึกษาแล้ว จะยึดอาชีพที่ร่ำเรียนมาหล่อเลี้ยงชีวิตและครอบครัว แต่บางครั้งอาจหักเหไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เพราะฟ้าลิขิตไม่ให้ยึดติดอยู่กับความใฝ่ฝันเสมอไป เฉกเช่น “คุณหมอพลศิริ เลิศวีระศิริกุล” แพทย์แผนจีน โรงพยาบาลเทียนฟ้ามูลนิธิ  
    
กว่าที่ก้าวสู่เส้นทางเป็นคุณหมอเพื่อสังคม แพทย์แผนจีน หมอพลศิริเล่าว่า “ในอดีตไม่เคยคิด และมีความใฝ่ฝันมาก่อน เพราะสมัยวัยรุ่นโดยส่วนตัวไม่ค่อยชอบไปโรงพยาบาลมากนัก เพราะเวลาไปปรึกษาแพทย์มาเจอกลิ่นยา เจอคนป่วย คิดว่าไม่อยากเจอภาพแบบนั้น ถ้าไม่จำเป็นจริง ไม่อยากเข้าไปสัมผัสโรงพยาบาล ถ้าเลี่ยงได้คงไม่เลือกไป”

ปูมหลังชีวิตส่วนตัวแล้ว ครอบครัวเป็นคนจีนโดยดำเนิด สมัยเด็กเติบโตที่ย่านธุรกิจคนจีน แถวสาธุประดิษฐ์ จากนั้นได้โอกาสได้ศึกษาที่โรงเรียนอัสสัมชัญ บางรักจนจบมัธยมศึกษา ได้สอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ ประสานมิตร เรียนจบปริญญาตรี สายสถิติ  ซึ่งในระหว่างการศึกษาอยู่กับตัวเลขทุกวัน รวบรวมข้อมูลตามหลักวิชาการที่ร่ำเรียน แต่พอจบการศึกษา รู้สึกว่าไม่ชอบสายนี้

ยามว่างการเรียนจะหันมาเล่นบาสเกตบอลตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมศึกษา ซึ่งสมัยวัยรุ่นรักกีฬาบาสฯเป็นชีวิตจิตใจบางครั้งมุ่งมั่นกับการเล่นกีฬา จนทำให้ผลการเรียนเสียบ้างในบางช่วง

พอจบปริญญาตรีที่เมืองไทย จึงตัดสินใจไปเรียนภาษาจีนเพิ่มเติมช่วงเวลาสั้น  ที่เมืองคุนหมิง มณฑลยูนาน ประเทศจีน ช่วงนั้นมีการจัดทิปไปเรียนในแต่ละรอบ 4-5คน จนได้ความรู้เรื่องการใช้ภาษาจีนเพิ่มเติม ซึ่งเป็นที่ทราบกันดี ที่เมืองคุนหมิงค่อนข้างที่มีชื่อเสียง หมอแมะในเรื่องการจับชีพจรในศาสตร์แพทย์แผนจีน เพื่อวินิจฉัยโรคและตรวจกลุ่ม (หรือเรียกกันว่าตรวจแมะ) แต่ตนไม่ได้สนใจที่เรียนรู้ในสายนี้มากนัก ต้องการเรียนเรื่องการใช้ภาษา เพราะว่าความฝัน ถ้าเรียนภาษจีน พูดคล่องแล้ว มีความฝันอยากเป็นล่าม
     
ช่วงนั้นพอเรียนจบกลับมาทำงานที่เมืองไทยอีกครั้ง ที่บริษัทผลิตซอสชื่อดัง รับเงินเดือน 3 หมื่นบาทต่อเดือน แต่สุดท้ายทำงานได้ 20 กว่าวัน ไม่ค่อนแฮปปี้นัก เนื่องจากว่ายังมีประสบการณ์น้อย ชั้นเชิงการทำงานยังอ่อน เลยลาออกอีกครั้ง

จนกระทั่งคุณลุงอุดม จันทรรักษ์ศรี เป็นอาจารย์อยู่ที่มหิดล ให้คำปรึกษาเรื่องต่างๆ ประกอบได้ไปช่วยเพื่อนเป็นล่ามรพ.แห่งหนึ่ง ได้เห็นคนป่วย คนแก่ จนเห็นผู้หญิง ที่มีรูปร่างซูปผอมคนหนึ่ง เป็นโรคมะเร็ง จนเกิดแรงบันดาลใจอยากช่วยเหลือผู้อื่น เพราะว่าสมัยที่กำลังเรียนในรั้วมหาลัย ยังเป็นเด็กทำกิจกรรมคนหนึ่ง ซึ่งสอนให้เรารู้จักเรื่องการแบ่งปั้นช่วยเหลือสังคม จนฝั่งลึกอยู่ในใจมาจวบจนถึงวันนี้ 
   
 จึงทำให้ชีวิตหักเหอีกครั้ง ตัดสินใจไปศึกษาต่อมหาวิทยาลัยหัวเฉียว คณะแพทย์แผนจีน ทำศึกษาตามหลักสูตร 6 ปี จนจบคว้าใบปริญญาตรีอีกหนึ่งใบ เลยได้ความรู้เรื่องยาจีน และการฝั่งเข็ม ตามแบบฉบับแพทย์แผนจีนจนได้มีโอกาสมาสมัครทำงานที่โรงพยาบาลเทียนฟ้ามูลนิธิ แพทย์แผนจีนจนถึงปัจจุบัน

การได้รับเกียรติมาเป็นหมอจีนที่โรงพยาบาล ตลอดช่วงที่ผ่านมาได้เห็นชีวิตคน ผู้ป่วยมากมาย ได้คุยกับเด็ก คนไข้ คนแก่ทุกรูปแบบ ที่เดินทางมาพบแพทย์ตั้งแต่ช่วงหัวรุ่งเพื่อมารอคิวเอายา ตรวจร่างกาย ฝังเข็ม ถือว่าทุกวันนี้มีความสุข ที่เป็นหนึ่งได้มามีโอกาสมารักษาผู้ป่วย โดยสถานพยาบาลแห่งนี้ไม่เหมือนโรงพยาบาลรัฐ และเอกชนทั่วไป
     
ผู้ป่วยมาใช้บริการและปรึกษาแพทย์ จะไม่มีการเสียค่าบริการ ซึ่งตรงกับแนวทางของตนเป็นการช่วยเหลือสังคมโดยตรง รายได้ไม่มากมาย พอมีกิน มีใช้ และไม่อยากร่ำรวยอะไร ขอแค่ได้ทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้ป่วย ซึ่งแต่ละคนมีโอกาสที่ไม่เหมือนกัน  แต่การทำหน้าที่หลักของคุณหมอ ต้องดูแลและรักษาผู้ป่วยทุกคน

“คิดว่าวันหนึ่งถ้ามีโอกาสอยากทำมูลนิธิเล็กๆสักแห่ง เพื่อตอบแทนสังคม แล้วออกพื้นที่ไปรักษาผู้ป่วยในถิ่นทุรกันดาร ที่ยังขาดโอกาสทางสาธารณสุข และในอนาคตกำลังมีแผนที่วางไว้อยากลงทุนทำคลินิกฝั่งเข็ม จ่ายยาจีนสักแห่ง กำลังดูทำเลในย่านสีลม แต่ต้องใช้งบหลักแสน” หมอพลศิริกล่าว  
     
พร้อมกัน คุณหมอพลศิริกล่าวตอนท้ายน่าสนใจ การเป็นแพทย์แผนจีน เป็นงานที่ช่วยเหลือสังคมโดยตรง ซึ่งเมืองบุไทยบุคลากรทางการแพทย์ยังขาดแคลน แต่ผู้ป่วยเมีมากมาย บางคนมีโอกาสเข้าไปรักษาตามสถานพยาบาลดีๆ บางคนไม่มีโอกาส เพราะว่ายังมีหลายปัจจัยไม่พร้อม แต่ด้วยจิตวิญญาณ ต้องทำงานเพื่อสังคม ดูแลป่วยทุกๆคนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ 
         
นี่คือ ความทุ่มเทหนึ่งในคุณหมอที่อุทิศตนเพื่อสังคม