กากถั่วเหลืองลด ต้นทุนเนื้อสัตว์ไทยแข่งขันได้ คุณภาพสูง ผู้บริโภคได้เต็มคำ


ราคากากถั่วเหลืองที่ปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงต้นเดือนสิงหาคม 2568 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของภาคปศุสัตว์ไทย หลังจากที่เคยแตะระดับสูงสุดที่ 18 บาทต่อกิโลกรัมในปี 2566 วันนี้ราคากลับมาอยู่ที่เฉลี่ยประมาณ 14 บาทต่อกิโลกรัม ลดลงกว่า 21% เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี ที่ผู้ผลิตเนื้อสัตว์ไทยสามารถบริหารต้นทุนได้อย่างมีเสถียรภาพมากขึ้น
ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ภาคปศุสัตว์ไทยต้องเผชิญกับวิกฤตโรค ASF ในสุกรและไข้หวัดนก ราคาวัตถุดิบและพลังงานพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์จากสงครามรัสเซียและยูเครน รวมถึงภาวะโลกร้อนที่เป็นต้นเหตุของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรง โดยเฉพาะภาวะร้อนแรง สร้างความเสียหายให้กับผลผลิตการเกษตร เหล่านี้ส่งผลกระทบกับต้นทุนการผลิตอย่างหนัก และราคาที่ผู้บริโภคยากจะเข้าถึง
การลดลงของราคากากถั่วเหลืองไม่ใช่แค่ตัวเลขในตลาดวัตถุดิบ แต่คือ “แรงหนุน” ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำของห่วงโซ่เนื้อสัตว์ไทยทุกภาคส่วน เริ่มจากเกษตรกรจะมีแรงจูงใจการพัฒนาเพิ่มศักยภาพการผลิต, ผู้ผลิตอาหารสัตว์ สามารถปรับสูตรให้ใช้กากถั่วเหลืองมากขึ้น ซึ่งมีโปรตีนสูงและต้นทุนต่ำกว่าธัญพืชทดแทน, ฟาร์มปศุสัตว์ โดยเฉพาะผู้เลี้ยงหมู ไก่ และไก่ไข่ ได้ลดต้นทุนการเลี้ยงอย่างมีนัยสำคัญ จนถึงผู้บริโภค ได้รับผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ที่มีคุณภาพดีขึ้นในราคาที่เข้าถึงได้ ได้ประโยชน์แบบ win-win ทั้งห่วงโซ่การผลิต
เปรียบเทียบราคาเฉลี่ยวัตถุดิบอาหารสัตว์หลักย้อนหลัง 5 ปี - ปัจจุบัน (2563–2568)
ปี กากถั่วเหลือง (บาท/กก.) ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (บาท/กก.) ปลาป่น (บาท/กก.)
2563 12.50 8.50 35
2564 14.00 9.50 38
2565 16.00 11.00 40
2566 18.00 13.00 42
2567 14.00 13.80 41
2568 ~14.00 ~13.80–14.00 ~41.00–42.00
ที่มา : รวบรวมจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรและสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย
หมายเหตุ : ปี 2567–2568 ราคากากถั่วเหลืองโลกลดลง จากผลผลิตล้นตลาดและภาษีการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ
ส่วนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และปลาป่นมีแนวโน้มทรงตัวหรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ถึงวันนี้ ต้นทุนเริ่มคลี่คลาย นี่คือโอกาสในการปรับโครงสร้างการผลิต จากผู้เกี่ยวข้องในห่วงโซ่เนื้อสัตว์ไทยหันมาใช้กากถั่วเหลืองในประเทศมากขึ้น ไม่เพียงช่วยลดต้นทุนและระยะเวลาการนำเข้า ทั้งยังเป็นปัจจัยผลักดันในการส่งเสริมการเพาะปลูกถั่วเหลืองในประเทศ, เกษตรกรสามารถปรับสูตรอาหารสัตว์ให้ใช้กากถั่วเหลืองมากขึ้น แทนธัญพืชที่ต้นทุนสูง, พัฒนาเทคโนโลยีการผลิตอาหารสัตว์ที่ยั่งยืน, ลดการใช้วัตถุดิบจากการเผา ซึ่งเกี่ยวข้องกับการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ลดฝุ่น PM2.5 และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ส่วนผู้บริโภคไทยจะได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงนี้ คือ เนื้อสัตว์คุณภาพดีขึ้นจากการใช้วัตถุดิบโปรตีนสูง ราคาผลิตภัณฑ์มีเสถียรภาพมากขึ้น อาหารปลอดภัยจากการตรวจสอบย้อนกลับของวัตถุดิบ ตลอดจนสนับสนุนการผลิตอาหารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
สำคัญที่สุด คือ เมื่อต้นทุนลดลง คุณภาพเพิ่มขึ้น และการผลิตมีความยั่งยืนมากขึ้น จะเป็นการยกระดับความสามารถแข่งขันของเนื้อสัตว์ไทยในตลาดโลกพร้อมส่งต่อโปรตีนคุณภาพให้คนไทยทุกคนได้ “เต็มคำ” อย่างแท้จริง
โดย... แทนขวัญ มั่นธรรมะ นักวิชาการอิสระ