โฆษกกองทัพภาคที่ 1 ลั่นใช้มาตรการเด็ดขาดหากเขมรฝ่าฝืนจับกุมดำเนินคดีทันที


พลตรี สุรวิชญ์ โฆษกกองทัพภาคที่ 1 แจงสถานการณ์ ประชาชนกัมพูชา หรือรั้วลวดหนามไทย - ทำร้าย จนท.ไทย ชี้ ใช้มาตรการเด็ดขาด หาก ประชาชน กัมพูชาฝ่าฝืน ให้จับกุมดำเนินคดีได้ทันที
เมื่อวันที่ 18ก.ย.68 ที่กองบัญชาการกองทัพภาคที่ 1 พลตรี สุรวิชญ์ แดงจันทร์ โฆษกกองทัพภาคที่ 1 แถลงข่าว ชี้แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา กองทัพภาคที่ 1 ได้มีการปฏิบัติการทางทหารเพื่อเข้าทำลายสิ่งปลูกสร้างทางทหารกองฝ่ายกัมพูชา ที่ลูกลำเข้ามาในเขตอธิปไตยของไทยบริเวณพื้นที่บ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว พร้อมทั้งได้ยึดคืนพื้นที่ส่วนหนึ่งและทั้งดำเนินการล้อมรั้วลวดหนามเพื่อเป็นแนวป้องกันตนเอง ซึ่งเป็นการกระทำที่จำเป็นเพื่อปกป้องอธิปไตย หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายได้ใช้ข้อตกลงหยุดยิงเพื่อลดความตึงเครียดในพื้นที่และเปิดช่องทางการเจรจาเพื่อให้แก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี
ทั้งนี้การแก้ไขปัญหาที่ผ่านมาได้ดำเนินการผ่านกลไกการเจรจาระดับสูง โดยมีการประชุมที่สำคัญ 2 ครั้งได้แก่ การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) มีผลสรุปเป็น 13 ข้อตกลงหยุดยิง ซึ่งครอบคลุมหลักการสำคัญ เช่น การยุติการใช้อาวุธทุกชนิด, การรักษาสถานะเดิมของแนวชายแดน, การห้ามเคลื่อนย้ายกำลังทหาร, และการงดเว้นการกระทำที่ยั่วยุทุกรูปแบบ ที่สำคัญคือทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้มีคณะผู้สังเกตการณ์จากประเทศสมาชิกอาเซียน นำโดยมาเลเซียเข้ามาตรวจสอบการหยุดยิงเพื่อสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่นร่วมกัน
ขณะเดียวกัน การประชุม RBC ซึ่งเป็นการประชุมติดตามผลระดับปฏิบัติการ เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา ได้ข้อสรุปเป็น 11 ข้อตกลง ซึ่งเน้นการทำงานในพื้นที่ เช่น การงดเผยแพร่ข่าวปลอม และการใช้สันติวิธีในการแก้ปัญหา รวมถึงการเก็บกู้ทุ่นระเบิดและวัตถุระเบิดที่ตกค้าง เพื่อความปลอดภัยของประชาชน แม้จะมีความคืบหน้าในการเจรจาระดับสูง แต่ในระดับพื้นที่ยังคงมีปัญหารุกล้ำเส้นเขตแดน กองทัพภาคที่ 1 จึงได้ร่วมกับจังหวัดสระแก้วใช้กระบวนการทางกฎหมายเข้าดำเนินการโดยเริ่มจากการติดป้ายประกาศให้ประชาชนชาวกัมพูชาที่ลุกล้ำออกไปจากพื้นที่ ซึ่งเป็นไปตามหลักการที่ประเทศไทยยึดถือในการใช้กฎหมายนำการทหาร
นอกจากนี้ จากการดำเนินการดังกล่าวได้มีการยั่วยุจากฝ่ายกัมพูชา ด้วยการเกณฑ์ชาวบ้าน เด็ก ผู้หญิง พระสงฆ์ เข้ามาทำการยั่วยุให้เกิดความรุนแรง แต่เรายึดมั่นในนโยบายที่ไม่ตอบโต้ด้วยกำลังและดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยใช้กำลังกองร้อยควบคุมฝูงชนจำนวน 2 กองร้อย เข้าดำเนินการต่อประชาชนชาวกัมพูชาที่ลุกล้ำในพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว ตามที่ปรากฏเป็นข่าว / โดยจากการปะทะในครั้งนั้นมีกำลังพล คฝ. ของฝ่ายเราได้รับบาดเจ็บ 4 นาย ซึ่งขอเรียนย้ำว่าเป็นการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวังสูงสุด
ทั้งนี้ แม่ทัพภาคที่ 1 ได้สั่งกำชับให้กำลังพลทุกนายใช้ความระมัดระวังและตอบโต้อย่างเหมาะสมหากมีการฝ่าฝืนจากชาวบ้านกัมพูชา ให้ดำเนินการจับกุมและดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด ขณะที่วานนี้ 17ก.ย.2568 ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้วได้มีการประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดบันเตียเมียนเจยของประเทศกัมพูชา เพื่อเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาระดับพื้นที่ / ทางด้านผู้ว่าราชการจังหวัดบันเตียเมียนเจย ได้รับทราบข้อเสนอของจังหวัดสระแก้วและจะนำไปพิจารณาพร้อมแจ้งผลให้ทราบต่อไป
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่แสดงให้เห็นถึงความไม่จริงใจและมีนัยยะแอบแฝงของกัมพูชาคือ วานนี้ที่มีการประชุมร่วมกันของผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้วกับผู้ว่าราชการจังหวัดบันเตียเมียนเจย ยังได้มีคณะผู้สังเกตการณ์ทางทหาร ทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชา ลงพื้นที่ดูแนวลวดหนามที่บ้านหนองหญ้าแก้วร่วมกัน จนถึงเวลา 15:00น. จึงได้เดินทางกลับ หลังจากนั้นฝ่ายกัมพูชาจึงได้มีการเกณฑ์ชาวบ้าน เด็ก ผู้หญิง พระสงฆ์ เข้ามาทำการยั่วยุให้เกิดความรุนแรง จนเกิดเหตุการณ์กระทบกระทั่งกันขึ้นและดูเหมือนเหมือนว่า กัมพูชาวางแผนไว้แล้ว และฝ่ายกัมพูชาได้นำคณะผู้สังเกตการณ์ เข้ามาในพื้นที่เกิดเหตุอีกครั้งตอนประมาณ 19:00น. เพื่อใส่ร้ายเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยว่าทำความรุนแรงกับประชาชนกัมพูชา
ทั้งที่สาเหตุเริ่มมาจากการเข้ามายั่วยุและรื้อลวดหนามของไทย หลังจากคณะผู้สังเกตการณ์ของทั้ง 2 ประเทศได้เดินทางกลับไปแล้ว / ย้ำว่ากองทัพภาคที่ 1 จะยังคงยึดมั่นในนโยบายที่เน้นการใช้กฎหมายและการทูตเชิงทหารเพื่อแก้ไขปัญหาและพร้อมที่จะปกป้องอภิปรายของชาติอย่างเต็มกำลัง