ความจำเป็นของความรู้ทางการเงินสำหรับเกษตรกรกับนโยบายของรัฐ


ความรู้ทางการเงิน (Financial Literacy) หมายถึง ความสามารถของบุคคลในการ เข้าใจและใช้ความรู้พื้นฐานทางการเงิน เพื่อจัดการเรื่องการเงินส่วนบุคคลและครัวเรือนอย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบไปด้วย
ส่วนระดับพื้นฐาน ได้แก่ (1) การจัดการรายรับ–รายจ่าย เข้าใจรายได้และค่าใช้จ่ายของครอบครัว รู้จักทำบัญชีรายรับรายจ่าย และใช้จ่ายอย่างมีวินัย (2) การออมและการลงทุน ตระหนักถึงความสำคัญของการเก็บออม เข้าใจวิธีออมและลงทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายและความเสี่ยง ในแต่ละช่วงชีวิต (3) การบริหารหนี้สิน คือ การเข้าใจความแตกต่างระหว่างหนี้ดีและหนี้เสีย การรู้จักวางแผนการกู้ยืมและชำระหนี้อย่างเหมาะสม ประสิทธิภาพแลบะประสิทธิผลของความรู้ทางการเงินระดับพื้นฐาน
ส่วนระดับยั่งยืน ได้แก่ (1) การวางแผนทางการเงินระยะสั้นและระยะยาว ตามเป้าหมายชีวิต เช่น การศึกษา การเกษียณ การซื้อบ้าน หรือ การประกันและการจัดการความเสี่ยง (2) ความตระหนักต่อสภาพเศรษฐกิจและสิทธิทางการเงิน โดยสามารถประเมินสิทธิ หน้าที่ สอดคล้องกับผลกระทบของเศรษฐกิจต่อการวางแผนทางการเงิน ซึ่งรวมถึง การวางแผน การออม การลงทุน การใช้เครดิต และการบริหารความเสี่ยง โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินและคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน
มูลนิธิห้วยข้องพัฒนาตระหนักถึงความสำคัญต่อการสร้างความรู้ทางการเงิน จึงได้จัดกิจกรรมการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการให้แก่ เกษตรกรชาวไร่ยาสูบ พื้นที่อำเภอศรีสำโรง จังหวัดสุโขทัย โดยมีการฝึกฝนให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมมีความเข้าใจการทำบัญชีครัวเรือน เพื่อสามารถไปถ่ายทอดให้สมาชิกท่านอื่นของสมาคมชาวไร่ยาสูบต่อไปในอนาคต
เกษตรกรชาวไร่ยาสูบเป็นตัวอย่างของการตระหนักต่อความสำคัญของความรู้ทางการเงินในประเด็นของความตระหนักต่อสภาพเศรษฐกิจและสิทธิทางการเงิน อันเนื่องมาจากนโยบายภาษีของรัฐ โดยชาวไร่ยาสูบได้รับประโยชน์จากการเติบโตของอุปสงค์ใบยาสูบช่วย พ.ศ. 2470–2500 โดยเฉพาะนับจากการจัดตั้ง โรงงานยาสูบ หรือ การยาสูบแห่งประเทศไทยในปี พ.ศ. 2472 เพื่อผลิตบุหรี่แบบสมัยใหม่ มีการส่งเสริมเกษตรกรปลูกยาสูบพันธุ์ต่าง ๆ เพื่อนำใบมาป้อนโรงงาน มีแหล่งปลูกสำคัญ ได้แก่ เชียงราย พะเยา แพร่ นครสวรรค์ เพชรบูรณ์ สุโขทัย โดยตลอดระยะเวาที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน การยาสูบแห่งประเทศไทยเป็นตัวแทนของรัฐบาลในการกำหนดพื้นที่ปลูกและจำนวนเกษตรกรที่สามารถปลูกได้ เนื่องจากเกษตรกรต้อง ขึ้นทะเบียนการปลูกกับการยาสูบแห่งประเทศไทย และขายผลผลิตให้การยาสูบโดยตรง
อย่างไรก็ตามนับจากปี พ.ศ. 2560 เป็นต้นมาการเปลี่ยนแปลง กฎหมายภาษีบุหรี่ ทำให้การยาสูบแห่งประเทศไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันเมื่อเทียบกับบุหรี่จากต่างประเทศ ขณะที่ความต้องการใบยาสูบลดลง โดยเป็นผลจากการละเลยของรัฐในการควบคุมบุหรี่หนีภาษีอย่างมีประสิทธิภาพ เช่นเดียวกับการเข้ามาของสินค้าทดแทนที่มีการจำหน่ายอย่างผิดกฎหมายชัดเจน คือ บุหรี่ไฟฟ้า ทั้งนี้แผนภาพที่แสดงสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงอุปสงค์ใบยาสูบนับจากปี 2560 อย่างมีนัยสำคัญ
สิ่งที่เกษตรกรใบยาสูบจำเป็นต้องตระหนักถึงอนาคตของตนเอง มาจากโครงสร้างของต้นทุนการจำหน่ายบุหรี่ในปัจจุบัน โดยโครงสร้างราคาบุหรี่ (สมมติซองละ 100 บาท) ประกอบไปด้วย (1) ค่าภาษีและค่าธรรมเนียมรัฐ ประมาณ 80 บาท ได้แก่ภาษีสรรพสามิต ตามมูลค่า (Ad valorem tax) คิดเป็น ร้อยละของราคาขายปลีกแนะนำ (RSP: Recommended Retail Price) และ ภาษีตามปริมาณ (Specific tax) ที่เก็บตามจำนวนมวนบุหรี่ ทำให้เกิดภาระภาษีที่ร้อยละ 80 ของราคาขาย สูงสุดในประเทศในอาเซียน (2) ต้นทุนการผลิต ประมาณ 5 บาท (3) ค่าใช้จ่ายในการขาย 10 บาท ดังนั้น ผู้ผลิตจะมีตัวเลขค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและผลกำไร ประมาณ 5 บาท ซึ่งถือว่าน้อยมาก และทำให้การยาสูบแห่งประเทศไทยมีผลการดำเนินงานตกลงมากกว่าร้อยละ 90
เกษตรกรชาวไร่ยาสูบยังต้องเผชิญกับนโยบายความไม่แน่นอนของภาษีบุหรี่ ในโครงสร้างของ “เงินบำรุงกองทุนต่าง ๆ” ที่จัดเก็บจากบุหรี่และยาสูบอื่น ๆ นั้น เก็บเพิ่มจาก ภาษีสรรพสามิต โดยตรง เพื่อส่งต่อไปยังกองทุนเฉพาะกิจในอัตราร้อยละ 2 ของภาษีสรรพสามิตยาสูบ ได้แก่ (1) กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) (2) กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ (3) กองทุนผู้สูงอายุ และ (4) กองทุนทีวีไทยพีบีเอส เป็นที่น่าแปลกใจอย่างมาก ที่ไม่มีการจัดตั้งกองทุนเพื่อส่งเสริมเกษตรกรใบยาสูบในการปรับเปลี่ยนการปลูกพืชชนิดอื่น หรือการส่งเสริมอาชีพใหม่ ทั้งๆ ที่รัฐบาลได้รับภาษีจากอุตสาหกรรมยาสูบเป็นจำนวนมาก
จากที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้น ความรู้ทางการเงินจึงเป็นสิ่งสำคัญกต่อกลุ่มเกษตรกรชาวไร่ยาสูบ และช่วยให้สามารถบริหารจัดการทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ภายใต้ความท้าทายที่เกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมยาสูบ