พืชศก.ตัวใหม่ ปลูกใบงาเกาหลี อายุสั้น ทำเงินเร็ว ขายใบละบาท ออเดอร์ล้น

พืชศก.ตัวใหม่ ปลูกใบงาเกาหลี อายุสั้น ทำเงินเร็ว ขายใบละบาท ออเดอร์ล้น





Image
ad1

เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นเคยกับ "ใบงาเกาหลี" เป็นอย่างดี ผลพวงจากอิทธิพลของอาหารเกาหลีที่เข้ามาแพร่หลายในประเทศไทย ทำให้ใบงาเป็นอีกหนึ่งวัตถุดิบสำคัญที่เห็นได้บ่อยขึ้น โดยเฉพาะกับเมนูปิ้งย่าง ที่หากอยากจะกินให้อร่อยและเข้าถึงวัฒนธรรมเกาหลีแบบสุดๆ ก็ต้องกินคู่กับ “ใบงาเกาหลี”นั่นเอง

"ใบงาเกาหลี"มีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ เผ็ดซ่าเล็กน้อย กลิ่นหอมเฉพาะตัว และคุณค่าทางโภชนาการที่สูง ทำให้ใบงาเกาหลีเป็นมากกว่าแค่ผักใบเขียวสำหรับห่อเนื้อย่าง แต่มันคือพืชเศรษฐกิจที่กำลังสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับเกษตรกรไทยได้อย่างน่าสนใจ

แตงกวา-ญาณิศา ทับเจริญ ผู้จัดการเขาใหญ่วานิลลา ตั้งอยู่ที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา บนพื้นที่ 40 ไร่แม้ฟาร์มแห่งนี้จะมีชื่อที่ชวนให้คิดว่าปลูกแต่วานิลลา แต่ความจริงแล้ว ที่นี่เลือกใช้วิธีปลูกพืชแบบผสมผสาน โดยมีวานิลลาเป็นพืชหลัก และปลูกพืชหมุนเวียนอีกหลายชนิดเพื่อสร้างรายได้เสริมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในบรรดาพืชหลากหลายชนิดที่ปลูกในฟาร์ม จะมีพืชตัวหนึ่งที่โดดเด่นออกมาก็คือ “ใบงาเกาหลี” ถือเป็นพืชที่น่าสนใจมากในแง่ของการสร้างรายได้อย่างรวดเร็วและคุ้มค่า

คุณแตงกวาเล่าให้ฟังว่า จากความตั้งใจของคุณนิกกี้ผู้เป็นเจ้าของเขาใหญ่วานิลลาแห่งนี้ มีความตั้งใจจะเนรมิตรพื้นที่ตรงนี้ให้เป็นพื้นที่ของการปลูกพืชผสมผสาน ปลูกวานิลลาเป็นพืชหลัก ส่วนพื้นที่ที่เหลือแบ่งปลูกพืชหมุนเวียนสร้างรายได้ และเน้นการปลูกพืชอินทรีย์ทั้งหมด

สำหรับการปลูกใบงาเกาหลี ทางฟาร์มวางแผนไว้ว่าจะปลูกบนพื้นที่ทั้งหมด 10 ไร่ เป็นการปลูกแบบค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป เป็นระยะเวลาเกือบปีแล้ว ผลผลิตที่ได้ค่อนข้างดี ให้ผลผลิตเร็ว เหมาะสำหรับการปลูกเป็นพืชสร้างรายได้เสริมมากๆ สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี เป็นพืชอายุสั้น ปลูกครั้งหนึ่งเก็บเกี่ยวผลผลิตได้นาน  4 เดือน

คุณแตงกวาอธิบายว่า โดยธรรมชาติของใบงาเกาหลีจะเป็นพืชที่ชอบอากาศเย็น แต่ก็สามารถปลูกในประเทศไทยได้ ไม่เพียงเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือที่มีอากาศเย็นกว่าภาคอื่นๆ เท่านั้น ถ้าเราเข้าใจธรรมชาติและใส่ใจในทุกขั้นตอนการปลูก จะปลูกในภาคไหนก็สามารถปลูกได้ รวมไปถึงการปลูกในพื้นที่ที่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้ก็น่าสนใจไม่น้อย เช่น การปลูกในโรงเรือนที่ใช้พรางแสงและมีระบบพัดลมระบายอากาศ ทำให้ใบงาเติบโตได้อย่างสมบูรณ์ ไม่เหี่ยวเฉาหรือใบไหม้จากความร้อนที่มากเกินไป

สำหรับวิธีการปลูกเริ่มจากการเตรียมดินสำหรับการปลูกใบงาเกาหลีมีวิธีการคล้ายกับการปลูกพืชผักทั่วไป สามารถปลูกได้เกือบทุกสภาพดินแต่ผลผลิตที่ได้อาจจะแตกต่างจากที่ปลูกที่เขาใหญ่บ้าง ด้วยลักษณะเฉพาะของดินที่นี่มีธาตุอาหารสมบูรณ์ ประกอบกับสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยทำให้ผลผลิตออกมาดี

ขั้นตอนถัดมาคือขั้นตอนการเพาะเมล็ดพันธุ์ นับเป็นขั้นตอนที่ยากที่สุดของการปลูกใบงาเกาหลีเลยกว่าได้ เพราะเมล็ดงอกยาก จำเป็นต้องเลือกเมล็ดพันธุ์ที่สมบูรณ์มาปลูก โดยเมล็ดพันธุ์ที่ฟาร์มเราใช้ปลูกเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ได้มาจากญาติของคุณนิกกี้ ที่ปลูกมาก่อนแล้ว จากนั้นทางฟาร์มก็นำมาปลูกและเก็บเมล็ดพันธุ์มาเพาะต่อเพื่อเก็บไว้ปลูกในครั้งต่อๆ ไป

โดยการหว่านเมล็ดลงบนพีทมอสที่ใช้เป็นวัสดุหลักในการเพาะเมล็ด ใช้เวลาประมาณ 5 วัน ต้นจะเริ่มแข็งแรง ใบเลี้ยงคู่แรกเริ่มขึ้นหมดแล้ว จากนั้นแยกไปอนุบาลต่ออีกประมาณ 10-14 วัน ถึงย้ายลงแปลงปลูกในระยะห่างระหว่างต้น 50-60 เซนติเมตร สำหรับไว้ให้ต้นไม้แตกกิ่งก้าน

คุณแตงกวาบอกว่า ระบบการให้น้ำเป็นระบบสปริงเกลอร์ รดน้ำเช้า-บ่าย ครั้งละประมาณ 10-15 นาที ตามความเหมาะสมของสภาพอากาศในช่วงนั้น หากเป็นช่วงที่อุณหภูมิไม่สูงมากจะให้น้ำครั้งละ 10 นาที แต่ถ้าอุณหภูมิสูงมากก็เพิ่มการให้น้ำขึ้นมาเป็น 15 นาที

ส่วนการบำรุงปุ๋ยจะบำรุงด้วยปุ๋ยมูลค้างคาว ในช่วง 2 เดือนแรกจะให้ปุ๋ยเดือนละ 2 ครั้ง ปริมาณครึ่งช้อนพรวน จากนั้นพอเริ่มเข้าสู่เดือนที่ 3 จะปรับจำนวนการให้ลงเหลือเดือนละครั้ง ในอัตรา 1 ช้อนพรวน หว่านรอบๆ โคนต้น

ทางฟาร์มจะมีปัญหาเรื่องโรคและแมลงบ้างเป็นบางฤดู เนื่องจากพื้นที่อยู่ใกล้หุบเขา จึงมีแมลงจากป่าเขาเข้ามาเป็นบางครั้ง ที่พบได้บ่อยคือ แมลงวันทอง ที่มาเจาะใบและผลผลิต รวมถึง เพลี้ยอ่อน ที่ทำให้ใบหยิกงอจนไม่สามารถเก็บขายได้

วิธีการป้องกัน เราจะใช้ น้ำหมักชีวภาพ และติดตั้ง กระดาษกาวดักแมลง เพื่อช่วยลดจำนวนแมลงศัตรูพืช ซึ่งถือเป็นวิธีการที่ปลอดภัยและไม่ใช้สารเคมี

ใบงาเกาหลีเป็นพืชอายุสั้นที่สามารถเก็บเกี่ยวได้ค่อนข้างเร็ว โดยทั่วไปแล้วจะใช้เวลาประมาณ 45 วัน หลังจากปลูกเมล็ดก็เริ่มเก็บใบได้แล้ว เพื่อให้ได้ใบงาที่สวยงามพร้อมขาย คุณแตงกวาบอกว่า การเก็บเกี่ยวต้องทำอย่างประณีต โดยการใช้กรรไกรตัดที่ก้านใบโดยตรง และเก็บใบที่ตัดแล้วใส่ไว้ในถังที่มีฝาปิดทันที เพื่อป้องกันไม่ให้ใบโดนแดดและความร้อนระหว่างการเก็บ... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.khaosod.co.th/technologychaoban/featured/article_317097

หลังจากเก็บเกี่ยวเสร็จสิ้น ขั้นตอนการบรรจุหีบห่อก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เราจะจัดใบงาเป็นปึก ปึกละ 10-20 ใบ จากนั้นใช้ฟ็อกกี้ฉีดน้ำเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น

ส่วนการจัดส่ง เราจะรองกล่องพัสดุด้วยถุงพลาสติก ตามด้วยกระดาษทิชชูที่ฉีดน้ำจนชุ่ม วางปึกใบงาลงไปจนเต็มกล่อง แล้วปิดทับด้วยกระดาษทิชชูที่พ่นน้ำอีกครั้ง เพื่อรักษาความชื้นไม่ให้ใบเหี่ยวเฉาระหว่างขนส่ง โดยปกติแล้วควรจัดส่งให้ถึงมือลูกค้าภายใน 2 วัน เพื่อให้ใบงายังคงสดใหม่ ไม่เน่าเสีย

การเก็บเกี่ยวใบงาเพื่อจำหน่ายนั้นต้องให้ความสำคัญกับคุณภาพเป็นอันดับแรก ใบที่สมบูรณ์ควรมีขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือและไม่มีรอยแมลงกัดกิน

เกรด (XL) สำหรับการขายออนไลน์ เราจะคัดเฉพาะใบที่ใหญ่เท่าฝ่ามือ จำหน่ายเฉลี่ยใบละ 1 บาท

เกรดคละไซซ์: เหมาะสำหรับการขายส่งให้กับร้านอาหารหรือจำหน่ายเป็นกิโลกรัม ซึ่งจะมีราคาถูกกว่า อยู่ที่ประมาณ 400 บาทต่อกิโลกรัม... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.khaosod.co.th/technologychaoban/featured/article_317097

สำหรับช่องทางการตลาด คุณแตงกวาบอกว่า ตอนนี้ที่ฟาร์มจะมีตลาดหลักเป็นการสั่งซื้อโดยตรงผ่าน LINE Official เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาจากการขนส่งที่ล่าช้า ส่งผลให้ใบงาเสียหาย เราจึงเน้นการจัดส่งเองให้กับลูกค้าเอง โดยมีร้านอาหารเกาหลีและบริษัทผักออร์แกนิกเป็นกลุ่มลูกค้าหลัก

“ตั้งแต่ที่เราเริ่มต้นปลูกมาความต้องการของตลาดใบงาเกาหลีมีสูงมาก ลูกค้าส่วนใหญ่สั่งซื้อครั้งละ 2-10 กิโลกรัม และมาจากหลายพื้นที่ทั่วประเทศ เช่น เขาใหญ่ ยะลา และหาดใหญ่ แต่ปัญหาที่เราเผชิญคือผลผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า ทำให้ต้องเสียโอกาสทางธุรกิจไป การรักษาฐานลูกค้าจึงเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าผลผลิตขาดช่วง ลูกค้าอาจหันไปหาแหล่งอื่น และการจะดึงพวกเขากลับมาเมื่อเรามีของอีกครั้งก็อาจต้องใช้ความพยายามในการทำตลาดใหม่

หากใครคิดจะลงทุนปลูกใบงาเกาหลี จึงอยากแนะนำให้วางแผนอย่างรอบคอบ เนื่องจากการปลูกพืชที่เน้นเก็บใบขายอย่างใบงา ต้องมั่นใจว่ามีตลาดรองรับที่ต่อเนื่อง หากไม่มีลูกค้าในช่วงที่ผลผลิตออกมา ใบก็จะแก่และร่วงโรยไปอย่างน่าเสียดาย” คุณแตงกวา กล่าวทิ้งท้าย

สำหรับท่านใดสนใจสอบถามรายละเอียดการปลูกใบงา หรือต้องการสั่งซื้อใบงาเกาหลี จากเขาใหญ่วานิลลา สามารถติดต่อได้ที่เพจเฟซบุ๊ก : Khao Yai Vanilla หรือโทร. 094-506-6006