“ข้าวเม่าตำมือ”เมืองตรัง เมนูย้อนยุค หอมนุ่มอร่อย ได้กินปีละครั้ง


"ข้าวเม่าตำมือ"เมืองตรัง เมนูย้อนยุคที่หากินยากแค่ปีละครั้งเท่านั้น แถมยังเป็นแค่ช่วงสั้นๆ เฉพาะช่วงข้าวที่เพิ่งออกรวงในระยะข้าวเม่า เพราะหากรวงข้าวแก่จัด หรือสุก ก็จะทำเป็นเมนูนี้ไม่ได้แล้ว ขณะเดียวกันยังเหลือชาวบ้านอีกน้อยครัวเรือน ที่ยังคงสืบสานและรักษาการทำนาไร่ เพื่อตำข้าวเม่าขาย ทั้งที่ยังคงมีความต้องการของลูกค้าสูง
อย่างเช่นชาวบ้านในพื้นที่ตำบลปากแจ่ม อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง ที่มีแค่ 3 ครัวเรือน ที่ยังคงปลูกข้าวไร่แซมในสวนยาง และสวนปาล์ม เพื่อนำมาตำเป็นข้าวเม่าขายปีละครั้ง ซึ่งก็ทำไม่ทัน เพราะความต้องการสูง เนื่องจากพื้นที่ทำไร่ ทำนา ในขณะนี้แทบหมดไปจากชุมชนแล้ว ทั้งที่สามารถสร้างรายได้เสริมให้เป็นกอบเป็นกำในช่วงเวลาสั้นๆ ปีละหลายหมื่นบาท ช่วยทดแทนรายได้ที่หายไปในช่วงที่ต้องหยุดกรีดยาง เพราะฝนตกบ่อย
ส่วนการตำข้าวเม่า ก็ยังใช้ภูมิปัญญาดั้งเดิม เริ่มจากนำข้าวเปลือกไปนวด แล้วแช่น้ำไว้ 1 คืน ก่อนนำไปคั่วด้วยมือในกระทะ จนร้อน หรือมีเสียงแตกของเมล็ดข้าวเล็กน้อย จากนั้นนำไปตำในครกโบราณ แล้วแยกกากออกจนสะอาด ซึ่งจะแตกต่างจากตำข้าวเม่าของพื้นที่อื่นที่อาจใช้เครื่องทุ่นแรง เช่น ครกกระเดื่อง แต่การตำมือแบบนี้จะได้ข้าวเม่าที่มีกลิ่นหอมมาก เพราะใช้ข้าวเหนียวระยะเริ่มต้นข้าวเม่าเท่านั้น เมื่อนำไปคลุกกับน้ำมะพร้าว และเนื้อมะพร้าวที่ไม่อ่อนไม่แก่เกินไป พร้อมเติมเกลือและน้ำตาลลงไปเล็กน้อย จะได้ข้าวเม่าที่หอมนุ่มอร่อย
นางสาวจันทร์จิรา นาทุ่งนุ้ย หนึ่งในชาวบ้าน บอกว่า พอเข้าสู่ฤดูกาลข้าวเม่าของทุกปี ตนก็จะวางมีดกรีดยาง แล้วหันมาตำข้าวเม่าขายอย่างเดียว แม้จะไม่มีพื้นที่ปลูกข้าวไร่ของตัวเอง ต้องอาศัยซื้อรวงข้าวของชาวบ้าน ทั้งในพื้นที่อำเภอห้วยยอด และอำเภอนาโยง เพื่อนำมาตำไปขายตามตลาดนัดต่างๆ ในราคา กก.ละ 260 บาท สร้างรายได้เสริมให้ปีละ 30,000-40,000 บาท ซึ่งมีออเดอร์สั่งเข้ามาจำนวนมาก เพราะปัจจุบันหากินยาก
ด้าน นายศักดิ์ชัย หนูเริก เจ้าของนาไร่แห่งหนึ่ง บอกว่า ตนเองจะปลูกข้าวไร่ทุกปี เพื่อเก็บไปทำข้าวเม่าขายเอง และแบ่งให้กับชาวบ้านที่ซื้อนำไปตำข้าวเม่าขายด้วย โดยหากคนตำมาเก็บเอง จะขาย กก.ละ 35 บาท แต่หากเจ้าของไร่เก็บให้ จะขาย กก.ละ 40 บาท ปัจจุบันในพื้นที่มีคนทำข้าวไร่เพียง 4 รายเท่านั้น จึงเป็นที่ต้องการของคนตำข้าวเม่า ทำให้แต่ละปีทั้งขายรวง และขายข้าวเม่า มีรายได้หลักหมื่นบาท ถือเป็นรายได้เสริม
ส่วน นางเฉลียว คงเจือ ชาวบ้านอีกราย บอกว่า ทุกปีตนเองจะปลูกข้าวไร่ประมาณ 4 ไร่ เพื่อไว้ตำข้าวเม่าขาย ทำให้มีรายได้จากการขายรวง ประมาณ 20,000-30,000 บาท และตำข้าวเม่าขาย ประมาณ 20,000 กว่าบาท สร้างรายได้เสริมช่วงหยุดกรีดยาง เพราะฝนตก ส่วนใหญ่จะมีคนสั่งจอง จนตำไม่ทัน และตอนนี้ก็เหลือคนทำนาไร่น้อยมากแล้ว อีกทั้งปีต่อไปก็ห่วงว่า ตนเองจะตำข้าวเม่าไม่ไหวแล้ว เพราะอายุมากขึ้น