"หงส์ไทย" พลิกวิกฤตสู่โอกาส! ประกาศยกระดับมาตรฐานครั้งใหญ่ใช้เทคโนโลยี "ฉายรังสีฆ่าเชื้อ"

"หงส์ไทย" พลิกวิกฤตสู่โอกาส! ประกาศยกระดับมาตรฐานครั้งใหญ่ใช้เทคโนโลยี "ฉายรังสีฆ่าเชื้อ"





Image
ad1

บริษัท สมุนไพรไทย หงส์ไทย จำกัด เจ้าของแบรนด์ยาดมสมุนไพรชื่อดัง ประกาศยืนยัน น้อมรับผลตรวจสอบจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กรณีตรวจพบการปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์ใน "ยาดมผสมสมุนไพร ตราหงส์ไทย สูตร 2" รุ่นการผลิต 000332 และแสดงความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ โดยประกาศเดินหน้ายกระดับมาตรฐานการผลิตสินค้าทุกรายการภายใต้บริษัทฯ ทันที ภายใต้ความร่วมมือกับ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สทน. เพื่อนำเทคโนโลยี "การฉายรังสีฆ่าเชื้อแบบเย็น" ซึ่งเป็น "Gold Standard" ของโลก มาใช้ในการสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยสูงสุดแก่ผู้บริโภค

นายธีระพงส์ ระบือธรรม เจ้าของบริษัท สมุนไพรไทย หงส์ไทย จำกัด เปิดเผยด้วยความมุ่งมั่นว่า "ในฐานะผู้ผลิต เราขอยืนยันว่าพร้อมรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด บริษัทฯ ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อลูกค้า และคู่ค้าที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ พร้อมกันนี้บริษัทฯ ขอกราบขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่ให้กำลังใจ และผมในฐานะผู้บริหารขอน้อมรับในคำตำหนิ เรามีความตั้งใจในการแก้ไขปัญหาทุกอย่างอย่างจริงจัง และขอโอกาสที่จะพัฒนาแก้ไขทุกอย่างให้ดีขึ้นครับ"

นายธีระพงส์ กล่าวต่อว่า วิกฤตในครั้งนี้ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ โดยเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ได้รับความสนับสนุนจาก สทน. "วิกฤติของเราในครั้งนี้กลายเป็นโอกาสที่จะช่วยให้เรายกระดับการพัฒนามาตรฐานของสินค้า ให้มีคุณภาพดีกว่าเดิมแบบปลอดภัยต่อผู้บริโภค 100% สินค้าทุกตัวต่อจากนี้จะผ่านการยกระดับความปลอดภัย และการตรวจที่ สทน. ปัญหาทุกอย่างจะได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้อง วิกฤตการณ์ตอนนี้จะเป็นจุดเริ่มต้น ที่ทำให้เราพัฒนาสินค้าให้ได้มาตรฐานและถูกต้อง อยากให้ประชาชนและลูกค้าทุกท่านรับทราบว่า หงส์ไทยจะไม่หยุดพัฒนา ความไม่รู้ จะทำให้เรายิ่งมุ่งมั่นในการพัฒนาตัวเองให้ดีกว่าเดิมครับ"

บริษัทฯ ยืนยันการเร่งดำเนินการยกระดับมาตรฐานโรงงาน และสำนักงานทั้งระบบ รวมถึงการแก้ปัญหาการปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์ ของยาดมสมุนไพรหงส์ไทย ภายใต้ความร่วมมือกับ สทน. จะแล้วเสร็จภายในระยะเวลา 7 วัน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค ว่าบริษัทมีความตั้งใจและจริงจังในการแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็ว

ด้าน นายกมล อุ่นชู ผู้จัดการศูนย์ฉายรังสี สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สทน. เปิดเผยว่า "สทน. มีพันธกิจสำคัญในการสนับสนุน ให้คำปรึกษาและช่วยเหลือด้านงานวิจัย งานทดลอง ไปจนถึงเทคโนโลยีและรังสี เพื่อยกระดับมาตรฐานให้กับผู้ประกอบการไทย ซึ่งหลังจากที่สถาบันได้รับทราบข่าวการปนเปื้อนที่เกิดขึ้นกับผลิตภัณฑ์ยาดมหงส์ไทย ก็เร่งดำเนินการประสานงานไปยังหงส์ไทย เพื่อจับมือเป็นพันธมิตรร่วมแก้ไขปัญหา"

นายกมล กล่าวว่า ทางออกของ สทน. ที่มีต่อการแก้ปัญหาผลิตภัณฑ์หงส์ไทย คือการฆ่าเชื้อด้วย "เทคโนโลยีการฉายรังสี" ซึ่งเป็น เทคโนโลยีสะอาด (Clean Technology) ที่ใช้พลังงานจากรังสีในการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ โดยไม่ใช้สารเคมีใด ๆ จึง ไม่ก่อให้เกิดสารพิษหรือสารเคมีตกค้างในผลิตภัณฑ์ ปลอดภัยต่อผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม 100%

สทน.จะใช้เทคโนโลยี Electron Beam (E-Beam) และ โคบอลต์-60 ในการฆ่าเชื้อใน แพ็กเกจสุดท้ายของการบรรจุผลิตภัณฑ์หงส์ไทย เพื่อป้องกันการปนเปื้อนซ้ำ ดำเนินการโดยนักวิทยาศาสตร์ วิศวกร และผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการอบรมเฉพาะทาง โดยกระบวนการทั้งหมดเกิดขึ้นในโรงงานฉายรังสีระบบปิด ของ สทน.ภายใต้การควบคุมที่เข้มงวด และมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล ใช้เวลาเพียง 1-2 วัน ก็สามารถส่งมอบสินค้าคืนให้กับบริษัทฯ พร้อมใบการันตีความปลอดภัย

นายกมล อธิบายถึง จุดแข็งของเทคโนโลยีนี้ว่า การฆ่าเชื้อแบบเย็น ด้วยเทคโนโลยี Electron Beam (E-Beam) และ โคบอลต์-60 เป็นการฆ่าเชื้อโดยไม่ใช้ความร้อน ซึ่งช่วยรักษาสารระเหยที่ให้กลิ่นหอมและคุณสมบัติทางยาของสมุนไพรไว้ได้อย่างครบถ้วน ทำให้ยาดมยังคงมีกลิ่นหอมและสรรพคุณตามต้นตำรับ เป็นเทคโนโลยีที่ปลอดเชื้อ 100% มีประสิทธิภาพสูงในการลดปริมาณจุลินทรีย์ให้ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด ครอบคลุมเชื้อดื้อยาและสปอร์ เป็นวิธีที่มีความปลอดภัย 100%: 
ยนายกมล ยืนยันว่า "ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการฉายรังสี จะ ไม่มีรังสีตกค้างเลยแม้แต่น้อย และไม่กลายเป็นสารกัมมันตรังสีอย่างแน่นอน100%" ซึ่งได้รับการพิสูจน์และรับรองจากองค์กรสากลระดับโลก เช่น WHO, FDA, IAEA ฯลฯ

นายกมล เน้นย้ำว่า "วิกฤติที่เกิดขึ้นเป็นบททดสอบไม่ใช่จุดด้อย ความท้าทายนี้เป็นโอกาสของบริษัท สมุนไพร หงส์ไทย จำกัด ในการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานให้สูงขึ้น เพื่อสร้างความแข็งแกร่งที่แท้จริงและยั่งยืน สทน. มุ่งหวังให้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับยาดมหงส์ไทย นำพาไปสู่การสร้างมาตรฐานให้กับสินค้าสมุนไพรไทย รวมถึงก่อให้เกิดความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับภาคเอกชน ในการจับมือร่วมกันพัฒนาศักยภาพ ของสินค้าสมุนไพรไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป"