นาทีนี้....ต้องที่นี่กรมชลประทาน “5 นาทีกับ ดร.ธเนศ สมบูรณ์” โฆษกกรมชลประทาน

นาทีนี้....ต้องที่นี่กรมชลประทาน “5 นาทีกับ ดร.ธเนศ  สมบูรณ์”   โฆษกกรมชลประทาน





Image
ad1

เราพร้อมสื่ออีกสองสำนัก รวมทั้งช่างภาพนัดพบ ดร.ธเนศ  สมบูรณ์ โฆษกกรมชลประทาน ที่ตึก Swoc กรมชลประทาน
ดร.ธเนศ ในชุดสูทสีดำพร้อมทีมงานเดินออกมาต้อนรับพร้อมใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม  ยื่นมือมาทักทายอย่างเป็นกันเอง “กรมชลประทานยินดีต้อนรับทุกท่านครับ” จากนั้นโฆษกกรมชลประทานพาเราและสื่อไปชมห้องปฏิบัติการ ของศูนย์น้ำอัจฉริยะหรือ Swoc ซึ่งมีจอขนาดใหญ่ ขนาดกลาง มากมาย รวมทั้งมีเจ้าหน้าที่นั่งประจำจุดต่างๆ เพื่อควบคุมและสั่งการ

โฆษกกรมชลประทานอธิบายว่า “จอมอนิเตอร์เหล่านี้ จะทำให้เรารู้ถึงระดับน้ำ ปริมาณฝน ที่ตกลงมาในแต่ละครั้ง ทำให้สามารถสั่งการในการบริหารจัดการน้ำได้ ทั้งน้ำที่อาจล้นสปิลเวย์ หรือ น้ำที่เราต้องหน่วงไว้ก่อนที่จะปล่อยระบายออกไปทางด้านท้ายเขื่อน
เรายิงคำถามที่อยากถามทันที “ปีนี้ฝนมาเร็วตั้งแต่เดือนมีนาคมและตกมาตลอด รวมทั้งมีพายุเข้ามาอีกถึง 4 ลูก เรียนถามว่าสถานการณ์จะใกล้เคียงหรือเหมือนปี 54 ไหม”

ดร.ธเนศ ยิ้ม ก่อนจะตอบว่า “เป็นคำถามที่ผมถูกถามเกือบทุกวันว่า ปีนี้น้ำจะท่วมเหมือนปี 54 ไหมขอยืนยันว่าไม่เหมือนครับ”
ดร.ธเนศ อธิบายพร้อมชี้ไปที่แผนผังว่า....”น้ำในปีนี้ถ้าเทียบกับปี 54 น้อยว่าปี 54 ถึง 30 กว่าเปอร์เซ็นต์  ถึงจะมีพายุเข้ามา 4  ลูก (วิภา – คาจิกิ – บัวลอย – คัลแมกี)  แต่ละลูกทิ้งระยะห่างกัน ตรงนี้สำคัญมาก ทำให้กรมชลประทาน สามารถบริหารจัดการน้ำได้

ทั้งปรับเพิ่มการระบายน้ำออกไปทางท้ายเขื่อน จัดการจราจรน้ำไปตามลำน้ำสาขา  นำน้ำเข้าไปสู่แก้มลิงธรรมชาติ  ทำให้ปริมาณน้ำที่เราบริหารจัดการค่อยๆ ลดลง ไม่เหมือนปี 54 ที่มีพายุเข้ามาติดๆ กันถึง 5 ลูก  โดยไม่มีระยะห่างให้ทางกรมชลประทานบริหารจัดการน้ำได้เลย  
เขื่อนใหญ่ๆ ทั้งเขื่อนภูมิพล  เขื่อนสิริกิตต์  เขื่อนแควน้อยบำรุงแดนฯและอีกหลายเขื่อน  ปริมาณน้ำมากพอๆ กับปี 54  แต่เรามีเวลาในการพร่องน้ำ  เพื่อรองรับน้ำฝนที่ตกลงมา  แต่ปี 54 เราทำอะไรแทบไม่ทัน เพราะพายุเข้ามาติดๆ กันถึง 5 ลูก และเมื่อน้ำในเขื่อนเต็ม

ฝนที่ตกลงมาซ้ำๆ จึงกระจายออกไป  ทำให้เกิดน้ำหลากจากทางเหนือลงสู่ภาคกลาง  แต่ปีนี้เราพร่องน้ำในเขื่อนไว้ล่วงหน้า เมื่อฝนตกลงมา เราจึงสามารถบริหารจัดการน้ำได้ครับ
เราถามต่อถึงน้ำทางภาคกลางเช่นที่ อยุธยา  สิงห์บุรี  คลองโผงเผง และ ที่สุโขทัย

ดร.ธเนศ อธิบายว่า “อยุธยาเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ เมื่อฝนมาและมีการปรับการระบายน้ำเพิ่มขึ้น ทำให้พื้นที่บริเวณนอกคันกั้นน้ำมีน้ำท่วมขัง  คลองโผงเผงก็เช่นเดียวกัน ส่วนที่สุโขทัย น้ำจากแม่น้ำยม ไม่มีฝายหรืออ่างเก็บน้ำใหญ่ๆ  ไว้รอรับ ฝนตกเท่าไร แม่น้ำยมพามาเท่านั้น  แต่ 3 – 4 ปีที่ท่านมา จะเห็นว่า การท่วมของน้ำลดลง คล้ายๆ กับมาแล้วก็ไป  ไม่ท่วมนาน   
ส่วนในอนาคต ทางกรมชลประทานกำลังศึกษาว่า เราควรจะสร้างฝายหรืออ่างเก็บน้ำ เพื่อชะลอน้ำไว้ตรงพื้นที่ใดก่อนที่จะมาที่สุโขทัย

กรมชลประทานทำงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกรมอุตุนิยมวิทยา  กทม.  สทนช.     การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ  รวมทั้ง  ปภ.  เพื่อบูรณาการในการทำงานร่วมกัน ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันครับ
โฆษกกรมชลประทานจบท้ายด้วยประโยคที่คนกรุงเทพฯ อยากฟังมากว่า “รับรองครับ น้ำไม่ท่วมเหมือนปี 54 แน่นอน"

จะเห็นได้ว่างานของกรมชลประทานคืองานเพื่อแผ่นดิน  123 ปี กรมชลประทาน พลังน้ำ พลังอนาคต และ ทั้งหมดคือ 5 นาที กับ ดร.ธเนศ  สมบูรณ์  โฆษกกรมชลประทาน