ผบก.ภ.จว.นราธิวาสลงพื้นที่เหยื่อมคมกระสุนตำรวจเขาตันหยง

นราธิวาส-ผบก.ภ.จว.นราธิวาสเข้าเยี่ยมและให้กำลังใจเหยื่อมคมกระสุนตำรวจเขาตันหยง ขณะที่เพจดังในพื้นที่ตั้งข้อสังเกตุการทำงานของต่อกรณีนี้อย่างหนักนวง

วันนี้(10 ม.ค. 65) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าเหตุ ตำรวจ สภ.เขาตันหยง อ.เมือง จ.นราธิวาส ใช้อาวูธปืนสงคราม ไล่กราเยิงรถยนต์กระบะชาวบ้าน เป็นเหตุให้มีเยาวชนได้รับบาดเจ็บสาหัส  2ราย ล่าสุด พล.ต.ต.แวสาแม สาและ ผบก.ภ.จ.นราธิวาสเข้าเยี่ยมและให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บ พร้อมมอบกระเช้าบำรุงสุขภาพ ณ โรงพยายาลนราธิวาสราชนครินทร์ ท่ามกลางความเสียใจของญาติผู้เสียหาย

ผู้สื่อข่าวรายงานจากเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบ สภ.เขาตันหยง ใช้อาวุธสงครามเอ็ม16 ไล่กราดยิงรถยนต์กระบะของเยาวชนในพื้นที่ที่เดินทางออกมาซื้ออาหารที่ร้านสะดวกซื้อ7-11 เพื่อยำไปรับประทานที่แคมป์ที่บริเวณอ่างเก็บน้ำพิกุลทอง ที่เป็นสถานท่องเที่ยวที่สำคัญของนราธิวาส เป็นเหตุให้เยาวชนภายในรถยนต์ดังกล่าวได้รับบาดเจ็บ 2 ราย เป็นที่น่าสนใจของประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างมาก เพราะน้องเยาวชนเหล่านี้ มีความพยายามที่สร้างบรรยากาศพื้นที่ให้เกิดการท่องเที่ยวเริ่มเข้าออกทำกิจกรรมคั้งแต่ช่วงก่อนวันเด็กที่ผ่านมา แต่กลับเกิดเหตุร้ายที่ไม่คาดคิดที่ผู้กระทำเหตุร้ายกลับเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เขาตันหยง ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ท่องเที่ยวเสียเอง จนเกิดดราม่าวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขว้าง โดยเฉพาะท่าทีของผู้บังคับบัญชา ตลอดจนผู้มีอำนาจหน้าที่ รับผิดชอบ ในพื้นที่ กลับเงียบ จึงไม่แปลกที่จะมีการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของหน่วยงานรัฐในพื้นที่ ล่าสุดเพจดัง”ความจริงชายแดนใต้”ได้ตั้งข้อสังเกตุว่า

ถึงในกรณีตำรวจตันหยง ได้ใช้อาวุธสงครามยิงเยาวชนซึ่งมาตั้งแคมป์ที่อ่างเก็บน้ำพิกุลทอง อันเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อและมีความสวยงามเป็นที่ประจักษ์ของนักท่องเที่ยวไทยและเทศ การกระทำของนายตำรวจทั้ง ๗ นาย เป็นความผิดฐานพยายามฆ่า ซึ่งมีอัตราโทษสูง จึงคำถามว่า ท่านไปไกล่คดีความกับเจ้าทุกข์ มันสมควรกระทำหรือ? ความจริงต้องนำตัวตำรวจกลุ่มนั้นมาดำเนินคดีตามกฎหมาย และควรสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ในระหว่างตั้งคณะกรรมสอบสวน ผลสอบมีความผิด ท่านต้องให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีทันที 

ความเสียหายครั้งมันใหญ่หลวงนัก สถานที่ท่องเที่ยวอ่างเก็บน้ำพิกุลทอง จะกลายเป็นตำนานมาจากการมาทำลายภาพลักษณ์ของตำรวจชั่ว!!! ณ เวลานี้ประชาชนในพื้นที่ต่างกวาดกลัวเจ้าหน้าที่มากกว่าคนร้าย