ตำรวจสอบสวนกลางบุกรวบแก๊งตีนแมวตระเวนตัดสายไฟป้ายโฆษณาทั่วพื้นที่กรุงเทพฯ

ตำรวจสอบสวนกลางบุกรวบแก๊งตีนแมวตระเวนตัดสายไฟป้ายโฆษณาทั่วพื้นที่กรุงเทพฯ





ad1

กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม ร่วมกันจับกุม ผู้ต้องหา 2 ราย ดังนี้

1. นายเอกณรงค์ฯ อายุ 28 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 2935/2566 ลงวันที่ 7 กันยายน 2566

2. นายชัชวาล หรือต้อม อายุ 36 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 2933/2566 ลงวันที่ 7 กันยายน 2566

ส่วน นายพยัคฆ์ หรืออาร์ต อายุ 39 ปี เผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 2934/2566 ลงวันที่ 7 กันยายน 2566 (พนักงานสอบสวน สน.ดินแดง เจ้าของคดีได้ทำเรื่องอายัดตัวผู้ต้องหาไว้แล้ว เนื่องจากปัจจุบันผู้ต้องหาถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำในคดีอื่น)

โดยผู้ต้องหาทั้ง 3 รายถูกศาลออกหมายจับ ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคล หรือ ทรัพย์ โดยเข้าทางช่องทางซึ่งไม่ได้ทำขึ้นโดยไม่ได้จำนงค์ให้เป็นทางคนเข้า หรือเข้าทางช่องทางซึ่งผู้เป็นใจเปิดไว้ให้ โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป โดยใช้ยานพาหนะเพื่อความสะดวกแก่การกระทำผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไป หรือ เพื่อให้พ้นการจับกุม”

พร้อมตรวจยึดของกลางที่ใช้ในการกระทำผิด

1. รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อ Yamaha คันที่ใช้ในการก่อเหตุ  

2. กระเป๋าสีดำภายในบรรจุอุปกรณ์ช่าง จำนวน 1 ใบ 

3. อุปกรณ์ตัดสายไฟ จำนวน 17 ชิ้น 

4.คีมตัดเหล็กใหญ่ จำนวน 1 อัน 

ของกลางอื่นๆ อีกหลายรายการ

สถานที่จับกุม 

- นายเอกณรงค์ฯ จับกุมตัวได้ที่บริเวณชุมชนคนไร้เสียง ถนนพระราม 9 แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ

- นายชัชวาล หรือต้อมฯ จับกุมตัวได้ที่บริเวณซอยสุทธิพร 1 แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ

พฤติการณ์ ก่อนเกิดเหตุผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ได้มาพบเจอกันที่ “ชุมชนคนไร้เสียง” บริเวณใต้ทางด่วนพระราม 9 แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ ซึ่งสถานที่ดังกล่าวเป็นที่พักอาศัยของคนเร่ร่อน คนไร้บ้าน โดยนายเอกณรงค์ฯ หนึ่งในกลุ่มผู้ต้องหา เป็นบุคคลผู้พิการทางด้านการพูดและการได้ยิน มักจะได้พบเจอกับนายชัชวาลฯ และนายพยัคฆ์ฯ อยู่บ่อยครั้ง จนทำให้กลุ่มผู้ต้องหาสามารถสื่อสารกันด้วยตัวอักษรภาษาไทย และภาษามือได้ 
 
ทั้งนี้ ผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย มักมีพฤติกรรมชอบลักขโมย มีความชำนาญในการตัดกุญแจ แอบลักลอบเข้าอาคาร ย่องเบาเป็นอาชีพ

ต่อมาเมื่อกลางดึกของวันที่ 13 สิงหาคม 2566 กลุ่มผู้ต้องหาได้มีการนัดหมายกันเพื่อตระเวนก่อเหตุลักสายเมนไฟฟ้าในพื้นที่กรุงเทพฯ เพื่อนำทองแดงที่อยู่ภายในสายไฟฟ้าไปขาย โดยผู้ต้องหาได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ไปสำรวจพื้นที่ในการก่อเหตุ จนกระทั่งวันที่ 14 สิงหาคม 2566 เวลาประมาณ 02.30 น. กลุ่มผู้ต้องหาได้พบป้ายโฆษณาจอดิจิทัลขนาดใหญ่ ซึ่งป้ายดังกล่าวเป็นทรัพย์สินของบริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (PlanB) ติดตั้งอยู่บนอาคารสุวรรณชิน ซอยชุ่มชื่น แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ กลุ่มผู้ต้องหาจึงก่อเหตุลักทรัพย์ โดยตัดเหล็กล็อกประตูอาคารร้างที่อยู่ติดกันกับอาคารสุวรรณชิน ก่อนจะลักลอบขึ้นไปบนดาดฟ้าอาคารดังกล่าว จากนั้นได้ปีนข้ามไปยังอาคารสุวรรณชิน และตัดสายไฟฟ้าของป้ายโฆษณาดังกล่าวไป โดยหลังจากก่อเหตุคนร้ายทั้ง 3 ราย ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีไป เป็นเหตุให้ บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด ได้รับความเสียหาย ผู้เสียหายจึงได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สน.ดินแดง เพื่อดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ต้องหา พร้อมทั้งประสานงานกับ กก.๑ บก.ป. ให้ช่วยสืบสวนติดตามจับกุมผู้ต้องหามาดำเนินคดี

 ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสืบสวน และรวบรวมพยานหลักฐาน จนสามารถขอศาลออกหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ในข้อหา “ร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคล หรือ ทรัพย์ โดยเข้าทางช่องทางซึ่งไม่ได้ทำขึ้นโดยไม่ได้จำนงค์ให้เป็นทางคนเข้า หรือเข้าทางช่องทางซึ่งผู้เป็นใจเปิดไว้ให้ โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป โดยใช้ยานพาหนะเพื่อความสะดวกแก่การกระทำผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไป หรือ เพื่อให้พ้นการจับกุม” 

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ลงพื้นที่ติดตามจับกุมกลุ่มผู้ต้องหา โดยสามารถจับกุมนายเอกณรงค์ ฯ ได้ที่บริเวณ ชุมชนคนไร้เสียง ถนนพระราม 9 แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ ส่วนนายชัชวาล ถูกจับกุมตัวได้ที่บริเวณ หน้าอพาร์ทเมนท์ ซอยสุทธิพร 1 แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่จึงนำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สน.ดินแดง ดำเนินคดีตามกฎหมาย

สอบถามคำให้การผู้ต้องหา นายชัชวาลฯ ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ส่วนนายเอกณรงค์ฯ ให้การรับสารภาพว่า ตนได้ร่วมกับนายพยัคฆ์ฯ และนายชัชวาลฯ ลักทรัพย์ (สายไฟ) ที่อาคารสุวรรณชิน     แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ โดยตนมีหน้าที่เก็บม้วนสายไฟหลังจากที่นายพยัคฆ์ฯ และนายชัชวาลฯ ตัดสายไฟมาแล้ว ส่วนสายไฟฟ้าที่ลักมานั้น ได้นำไปขายให้กับร้านรับซื้อของเก่าแห่งหนึ่งในย่านเทียมร่วมมิตร ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ทำการสืบสวนขยายผลและดำเนินการตามกฎหมายต่อไป