ประกาศ “ปฎิญญาบางแก้ว”ทางเลือก-ทางรอด “เกษตรกรไทย”


... “ปฎิญญาบางแก้ว” ทางรอดทางเลือกเกษตรกรไทย จะได้ภาพและเสียงสะท้อนจากภาคเกษตรกรและผู้ประกอบการสินค้าการเกษตร จาก จ.พัทลุง จ.สงขลา จ.ตรัง จ.นครศรีธรรมราช จ.สุราษฎร์ธานี และ จ.กระบี่ ที่ได้เข้าร่วมสะท้อนในการแก้ไขและเสนอแนะ
โดยมีผู้เข้าร่วมประมาณ 200 คน ในเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรเพื่อสร้างความสามารถทางการแข่งขัน ภายใต้หัวข้อ “ราคาปาล์มน้ำมันควรไปต่อหรือพอแคนี้” และเมื่อสิ้นสุดแลกเปลี่ยนเรียนในเวทีฯ กลุ่มเกษตรกรต่างได้ลงนาม “ปฎิญญาบางแก้ว ทางเลือกทางรอด เกษตรกรไทย”เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2568 ที่โรงเรียนบางแก้วพิทยาคม อ.บางแก้ว จ.พัทลุง
ทั้งนี้เวที มีผู้เข้าร่วม เช่น สำนักงานเกษตรจังหวัดพัทลุง สภาเกษตรจังหวัดพัทลุง ภาคีเครือข่ายชาวสวนยางพาราและสวนปาล์มน้ำมันแห่งประเทศไทย (คยปท.) สมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย (ยสท.) กลุ่มวิสาหกิจชุมชน สภาเกษตรกรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ผู้ประกอบการธุรกิจปาล์มน้ำมัน ผู้ประกอบการรับซื้อยางพารา ภาคใต้ทีวี สำนักข่าวเอ็มทูเดย์ และสำนักข่าวเดอะบางกอกไทม์
โดยเริ่มแรกทางสำนักงานเกษตรจังหวัดพัทลุง โดยนายสมชาย พรุเพชรแก้ว หัวหน้ากลุ่มยุทธศาสตร์และสารสนเทศ สำนักงานเกษตรจังหวัดพัทลุง ได้กล่าวให้ความรู้กับเกษตรกร ระบุว่าก่อนการลงทุนปลูกปาล์มน้ำมันจะต้องมีองค์ความรู้ในบริบทปาล์มน้ำมันทุกส่วนก่อน จึงจะเป็นทางเลือกทางรอดและจะเกิดความยั่งยืน
สำหรับในส่วนของปาล์มน้ำมัน จ.พัทลุง ขณะนี้มีประมาณ 100,000 ไร่ ได้ขยายตัวเติบโตบางปีถึง 5 % และบางปีถึง 10 % ซึ่งได้เบียดพื้นนาข้าวไปทุกปี ตอนนี้นาข้าวเหลืออยู่ประมาณ 140,000 ไร่ ทั้งนาปีและนาปรัง แนวโน้มจะได้เห็นผลต่อพื้นที่ทำนาข้าว และต่อผู้บริโภคอีก 10 ปีข้างหน้าจากนาข้าวที่ได้ทยอยลดลง
“พูดถึงปาล์มน้ำมันที่จะต้องเรียนรู้บริบทอย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่ดินน้ำอากาศ ต้นพันธุ์ อาหาร เพื่อรักษาและเสริมสร้างสุขภาพให้กับปาล์น้ำมัน ก็จะมีผลตอบรับในทางที่ดีถึงปริมาณผลการผลิต คุณภาพเปอร์เซ็นต์น้ำมันดิบในทิศทางที่ดี”
นายสมชาย ยังกล่าวต่อว่า เกษตรกรที่ได้ดำเนินการและบริหารจัดการที่ลงตัวปาล์มน้ำมันอย่างยืดหยุ่นลงตัว บางรายจะได้ผลผลิตปริมาณมากตั้งแต่ 3-4 -5 ตัน / ไร่ / ปี และบางสวนได้ถึง 6-7 ตัน / ไร่ / ปี
ในส่วนการประกอบการด้านธุรกิจปาล์มน้ำมัน ทางนายธวัช เพชรรัตน์ กล่าวว่า ปาล์มน้ำมันยังไปได้ต่อ แต่ต้องตระหนักและทำความเข้าใจว่าราคาจะขี้นลง จากมีปัจจัยประกอบต่าง ๆ ทั้งภายในประเทศและนอกประเทศ ตลอดจนถึงสภาพภูมิอากาศ
“เรื่องของราคาจะผันผวนขึ้นลงแต่ละช่วงระยะเวลาหนึ่งในขณะนั้น ๆ ซึ่งเหตุการณ์จะเกิดขึ้นก็จะไม่คงทนและถาวร เช่น ที่ผ่านมาเหตุการณ์ผลผลิตได้เกิด oversupply โรงงานอุตสาหกรรมหีบปาล์มน้ำมัน ต้องมีการชะลอรับซื้อ เหตุเพราะโรงงานกำลังการผลิตเต็มพิกัดเท่าที่มีอยู่อย่างจำกัดในขณะที่ผลผลิตปาล์มน้ำมันออกมาจนล้น จนส่งผลกระทบต่อเกษตรกรสวนปาล์มน้ำมันและลานปาล์มน้ำมันในที่สุดเรื่องของราคาและคุณภาพปาล์มน้ำมันในที่สุด”
นายธวัช กล่าวต่ออีกว่า ปัจจัยสำคัญที่จะต้องบอกว่า เมื่อมีการส่งเสริมการปลูกปาล์มน้ำมัน ในทางเดียวกันก็ต้องมีการส่งเสริมโรงงานอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันด้วยเพื่อเป็นการรองรับผลผลิต และในการส่งเสริมก็จะต้องอำนวยความสะดวก เพราะในการขยายโรงงานนั้นมีพื้นที่จำกัด ที่จะลำบากต่อการลงทุนในการขยายโรงงาน หากหาพื้นที่ใหม่ จะเกิดเป็นภาระหนักให้กับนักลงที่จะต้องหาพื้นที่ที่ไม่มีความพร้อมเหมาะสม เพราะบางพื้นที่ไม่เหมาะสมไม่มีความพร้อมก็จะส่งผลต่อเรื่องต้นทุนการลงทุนในที่สุด
“ทั้งจะต้องแก้ไขอุปสรรคทางด้านการอำนวยความสะดวกให้กับโรงงานอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันด้วย เพราะหากมีการจะขยายโรงงานแต่ก็มีพื้นที่จำกัด”
นายธวัช กล่าวต่อว่า หากมีการส่งเสริมการปลูก แต่กลับนิ่งเฉยเรื่องการขยายการลงทุนสร้างโรงงานอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันก็จะการเกิดวิกฤติหนัก ซึ่งปาล์มน้ำมันภาพรวมมีมูลค่าประมาณ 100,000 ล้านบาท / ปี ซึ่งยังสามารถยังเติบโตขยายตัว ซึ่งปาล์มน้ำมันจึงยังไปได้ต่อ
ทางด้านนายทศพล ขวัญรอด ประธานภาคีเครือข่ายชาวสวนยางพาราและสวนปาล์มน้ำมันแห่งประเทศไทย (คยปท.) กล่าวว่า ยางพาราและปาล์มน้ำมันเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญและเป็นเสาหลัก มีความเป็นมาตั้งแต่บรรพบุรุษและก็อยู่ได้จากภูมิปัญญาพื้นที่ ซึ่งอดีตเป็นป่ายาง และในปัจจุบันสวนยาง
เกษตรกรจึงต้องสร้างภูมิคุ้มกันดังที่สมัยบรรพบุรุษดำเนินการคือเรื่องป่ายางไม่ใช่สวนยาง เช่นป่ายางทำเป็นพืชเชิงซ้อนผสมผสานตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จะเป็นทั้งเกษตรกรรม ปศุสัตว์ ประมง คือปลูกพืชกินได้ขายได้ ปศุสัตว์ ประมงเลี้ยงสัตว์เลี้ยงสัตว์น้ำ คู่ขนานกันไปในป่ายาง ซึ่งจะก่อให้เกิดการถ่วงดุลตัวใดราคาผันผวนที่มีอยู่ก็ยังมีราคาและบริโภคได้และขายได้โดยไม่ต้องลงทุนซื้อ ก็สามารถมาทดแทนได้
“สำหรับเรื่องยางทาง คยปท. เครือข่าย ต่างได้ทำยุทธศาสตร์ 3 เล่ม ได้เสนอถึงรัฐบาลสมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี”
นายทศพล กล่าวต่อว่า ยางยังไปได้ต่อ คือจะต้องใช้ยางภายในประเทศเป็นขั้นบันใดปีละประมาณ 2 % ของผลผลิต หาก 20 จะใช้ประมาณ 40% จากเดิมที่ใช้ภายในประเทศอยู่แล้วประมาณกว่า 13 % รวมแล้ว จะมีการใช้ยางภายในประเทศประมาณกว่า 50 % เมื่อยางต้องถูกดูดซับออกจากระบบตลาดก็ส่งผลต่อดีมานด์ซัพพลาย ก็จะผลักดันให้ราคามีการปรับตัวและเสถียรได้
ส่วนเรื่องผลกระทบต่อสินค้าการเกษตรตหกต่ำไปจะแทบทุกตัว โดยที่ผ่านมาเมื่อเร็ว ๆ นี้ ทาง คยปท. ได้เข้ายื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การยางแห่งประเทศไทยเพื่อให้รัฐบาลดูแลเกษตรกรโดยจะต้องไม่อนุญาติให้มีการนำเข้าสินค้าการเกษตรจากต่างประเทศ เพื่อป้องกันผลกระทบต่อเกษตรกรไทย ทั้งเรื่องข้าว ยาง มันสำปะหลัง ฯลฯ
“เพราะมีการนำเข้าจากต่างประเทศทั้ง ยาง ข้าวมันสำปะหลัง และทุเรียน ส่งผลให้ทุเรียนราคาลงมาอยู่ที่ราคา 40-50 บาท / กก. มันสำปะหลังเหลือ 00.90 บาท / กก. แต่มาเมื่อไม่อนุญาตให้มีการนำเข้า มันสำปะหลังก็ปรับตัวขึ้นแล้วเป็นประมาณ 3 บาท / กก.”
และยังมีภาพและเสียงสะท้อนจากเกษตรกรถึงรัฐบาลอีกหลายประเด็น เช่น เรื่องการแปรูปสินค้าการเกษตร เพื่อเพิ่มมูลค่าซึ่งเป็นประเด็นสำคัญเรื่องหนึ่งที่เกษตรกรจะต้องริเริ่ม แต่จะมาติดกรอบเงื่อนไขระเบียบกฎหมาย ส่งผลให้เกษตรกรเข้าไปไม่ถึง
“เสมือนเกษตรกรจะถูกกำหนดเป็นเพียงแรงงานผลิตเท่านั้น ที่จะไม่สามารถยกระดับเป็นเกษตรอุตสาหกรรมได้”
ส่วนปาล์มน้ำมัน เกษตรกรยังได้สะท้อนเพิ่มเติมคือให้มีการเรื่องแบ่งสัดส่วนให้ชัดเจนแต่ละประเภท เช่นส่วนอาหาร ส่วนพลังงาน เช่น ไบโอดีเซล และส่วนเวชภัณฑ์ ซึ่งรัฐบาลจะต้องดำเนินการให้ลงตัวและเกิดประโยชน์กับทุกส่วนทุกฝ่าย
นายปัญญา ชูสกุลวงศ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานการยางแห่งประเทศไทยจังหวัดพัทลุง ได้กล่าวเพิ่มเติมเสริมว่า เรื่องยาง อยู่ระหว่างดำเนินการไปสู่ยาง EUDR ด้วย ซึ่งยางกลุ่มนี้ คือตลาดกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป (EU) โดยทาง สกย.ดำเนินการอยู่ขณะนี้ ซึ่งจะได้ราคาบวกเพิ่มอีก 3 บาท / กก. เช่นยางได้ราคา 60 บาท/กก.ก็จะเป็น 63 บาท / กก. เรื่องยางยังเดินไปต่อได้
ทางด้านสมาชิกสภาเกษตรกรจังหวัดพัทลุง และเกษตรกร ก็ได้สะท้อนเพิ่มเติมว่า ทางเลือกทางรอดสาระสำคัญขึ้นอยู่กับการรวมกลุ่มรวมกันเป็นแปลงใหญ่ จะเกดิประโยชน์ทุกส่วนทั้งเรื่องต้นทุนการผลิต ทั้งเรื่องการดูแลจากฝ่ายทางการ ทั้งเรื่องอำนาจต่อรอง และที่สำคัญที่หนีไม่พ้นของเกษตรกร คือฝ่ายการเมืองอันนี้สระสำคัญยิ่ง แต่เมื่อรากหญ้าเกษตรกรบางส่วนบางกลุ่มยังถูกฝ่ายการเมืองบางส่วนบางกลุ่มกำหนดในการซื้อและรับผลตอบแทนจากฝ่ายการเมือง ด้วยเหตุผลเพราะต้องจำนนจากสภาพเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ ที่ได้ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีพจิปาถะ
“จึงมีความจำเป็นเฉพาะหน้า เพราะด้วยเศรษฐกิจสภาพที่เป็นอยู่ จึงเป็นโอกาสที่เอื้ออำนวยในการซื้อขายสิทธิ์”
จนในที่สุดฝ่ายการเมืองประเภทนี้ได้เกิดขยายตัวเติบโต กว้างขวางมาก เพราะด้วยเหตุที่ว่า รากหญ้ากลับต้องตกเป็นผู้ทุจริตคอรัปชั่นจนกลายเป็นต้นน้ำแห่งการทุจริตคอรัปชั่น และในที่สุดเกษตรกรกลับเป็นเหยื่อไปในที่สุดเช่นกัน
“วันนี้ นับวันทรัพย์สินของเกษตรกรค่ายิ่งเหลือน้อย สาเหตุจากที่มีหนี้สินสะสมเพิ่มเติมทุกวันจากดอกเบี้ยทบต้น ทั้งต้นทั้งดอกไม่สามารถชำระคืน”
นายโอภาส หนูชิต สมาชิกสภาเกษตรกรจังหวัดพัทลุง กล่าวเสริมว่า ผลผลิตการเกษตรจะต้องมีกรอบระเบียบกฎหมาย จะเป็นทางเลือกทางรอดและเดินต่อไปได้ เช่น ปาล์มน้ำมันจะต้องมี พรบ.ปาล์มน้ำมัน คือไม่ต่างกับ พรบ.ยาง และ พรบ.อ้อย แต่ผู้ที่จะออกกฎหมายและผ่านกฎหมายคือส่วนนิติบัญญัติ คือฝ่ายการเมือง
“ส่วนประชาชนเจ้าของสิทธิ์อำนาจอธิปไตย โดยเฉพาะเกษตรกรรากหญ้าไม่มีอำนาจ มีแต่หนี้สิน เมื่อถึงเวลาการเมืองก็เล่นกับเกษตรกร และถึงเวลาเกษตรกรแล้วในการใช้สิทธิ์อำนาจอธิปไตย คือสมัยหน้ากับการเลือกตั้งโนโหวต ไปยังกับฝ่ายการเมืองประเภทที่ไม่ตอบโจทย์".