"สืงห์อ้วน- มท.1." เปิดการอบรม "นปส.84" "ปลัดป๊อป" รับนโยบาย"


"สืงห์อ้วน- มท.1." เปิดการอบรม "นปส.84" "ปลัดป๊อป" รับนโยบาย" ย้ำ "ความศรัทธาในหัวใจของผู้ใต้บังคับบัญชาและหัวใจประชาชนคือเกียรติยศสูงสุดของนักปกครองที่เป็นนักบริหารของกระทรวงมหาดไทย"
เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2568.นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดโครงการศึกษาอบรมหลักสูตรนักปกครองระดับสูง (นปส.) รุ่นที่ 84 พร้อมบรรยายหัวข้อ "ประสบการณ์นักบริหาร" โดยมี นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย คณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อาจารย์ที่ปรึกษาหลักสูตร และผู้เข้ารับการศึกษาอบรม จำนวน 100 คน ร่วมพิธี
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แม้ว่านักบริหารระดับสูงทุกคนจะมุ่งมั่นในการเดินบนเส้นทางของตนเอง แต่การเรียนรู้จากคนที่เดินมาก่อนอาจทำให้เราสามารถคาดเดาสถานการณ์ข้างหน้าได้ว่า การจะเป็นนักบริหารจะต้องเจออะไรบ้าง ด้วยความเข้าใจการจัดการที่อยู่บนพื้นฐานของความจริงและข้อเท็จจริง ต้องเป็น Change Agent หรือ "ผู้นำการเปลี่ยนแปลง" เพื่อก้าวเข้าสู่ตำแหน่งผู้บริหารของหน่วยงานที่เป็นบันไดขั้นต่อไป คือ การเป็น "รองอธิบดี" หรือ "รองผู้ว่าราชการจังหวัด" เพื่อเตรียมการรับผิดชอบระดับสูงสุดของจังหวัดหรือหน่วยงาน ซึ่งสิ่งที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญของ นปส. คือ ทุกการตัดสินใจหลังจากนี้เป็นต้นไปจะมีผลกระทบต่อผู้คนไม่น้อยด้วยบทบาทสำคัญในการที่จะนำพานโยบายของกระทรวงไปสู่ความสำเร็จเพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติและพี่น้องประชาชนที่เราต้องรับผิดชอบ
ประการที่ 1 "หัวใจของการบริหารคือการบริหารคน" ไม่ว่านโยบายจะดีแค่ไหน แผนงานสวยงามเลิศหรูเพียงใด หากไม่สามารถทำให้คนรอบตัวทั้งทีมงาน หัวหน้าส่วนราชการ ภาคเอกชน และประชาชน รู้สึกมีส่วนร่วมและเชื่อมั่นเพื่อที่จะเดินไปในทิศทางที่ต้องการได้ "การบริหารไม่มีทางสำเร็จ" นักบริหารต้องเข้าใจคน เข้าใจแรงจูงใจ ความหวัง และความกลัวของเขา เพื่อจะสื่อสารชักชวนให้เขามาอยู่ในทิศทางที่เราต้องการเพื่อเป้าหมายของงานที่เราอยากทำให้สำเร็จ และอีกประการหนึ่ง "นักบริหารต้องประสานคน" ต้องประสานทั้งผู้บังคับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชา และประชาชนที่จะมาเกี่ยวข้อง ถ้าไม่สามารถที่จะทำงานร่วมกับเขาได้ การบริหารก็ล้มเหลวตั้งแต่ต้น นี่คือความสำคัญของการบริหารคนและการประสานคน
ประการที่ 2 นักบริหารต้องรู้จักประสานทรัพยากรซึ่งการมองที่แตกต่างกันจะสามารถทำให้สามารถดึงเอาทรัพยากร ดึงเอาความรู้จักมักคุ้นส่วนตัว ดึงเอาความเป็นไปได้ของสิ่งรอบตัวมาประสานเพื่อนำไปสู่เป้าหมายร่วมกันที่ต้องผลักดันให้ได้ ถ้าทำสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ย่อมไม่มีทางไปสู่ความสำเร็จในการบริหาร และนักบริหารไม่มีสิทธิ์เลือกว่าจะทำเรื่องนึงหรือไม่ทำเรื่องนึง "หัวใจสำคัญคือการบริหารคน" ทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชารู้สึกดีและเชื่อมั่นว่าสิ่งที่เป็นนโยบายทำได้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จเพราะแรงต้านจากสิ่งที่อยู่ใต้บังคับบัญชาจะเป็นหลักประกันในความสำเร็จของงานที่ต้องการผลักดัน
ประการที่ 3. "สมดุลระหว่างวิสัยทัศน์และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นสิ่งที่ต้องมีคู่กัน" เพราะ "วิสัยทัศน์ระยะยาว" คือ การให้มองไปข้างหน้า มองเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ถ้ายังยึดมั่นเชื่อมั่นในสิ่งที่เคยคิดเคยเชื่ออย่างเดียวโดยไม่มองถึงการเปลี่ยนแปลงรอบ ๆ เลย ก็ไม่มีทางที่จะก้าวทันโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงว่าควรจะพัฒนาไปทางไหน และจะไม่สามารถสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้ประชาชนได้ เพราะการเป็นนักบริหารเราไม่ได้มากางนโยบายแต่ละข้อแล้วพูดถึงสิ่งที่เราอยาก แต่เราต้องเข้าใจว่า ถ้าจะเอานโยบายนั้นไปทำ ไปผลักดันข้างหน้าผลจะเกิดขึ้นอย่างไร เพราะสิ่งที่ทำล้วนเป็นไปตามกฎหมายและอำนาจหน้าที่ แต่หากเป็นเรื่องใหม่ก็ต้องใช้ดุลพินิจตามกรอบของกฎหมาย และผู้บังคับบัญชาย่อมดีใจหากผู้ใต้บังคับบัญชาทักท้วงหรือนำเสนอทางออกที่จะนำไปสู่ผลสำเร็จได้ ส่วน "การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า" คือการจัดการสิ่งที่ไม่ได้เป็นไปตามความคาดหมายให้สำเร็จด้วยการบริหารคนและสรรพกำลัง "นักบริหารที่ดีต้องเป็นทั้งนกและหนอน" เป็น "นก" คือ การบินอยู่ข้างบนมันจะทำให้มองเห็นว่าป่าหรืออาณาเขตมันกว้าง มันมีองค์ประกอบอะไร ทำให้เข้าใจสภาพปัญหาทั้งหมดก่อนที่จะดำเนินการแก้ไข ส่วน "หนอน" สามารถเก็บรายละเอียดของลักษณะดินใต้ต้นไม้ แต่ไม่เห็นภาพรวม ซึ่งหากเราเห็นทั้งสองอย่างรวมกัน ก็จะเป็นนักบริหารมืออาชีพ
ประการที่ 4. "วิกฤตคือบททดสอบของนักบริหาร" คนเราเวลามองเรื่องวิกฤตย่อมมองต่างกัน คนทั่วไปมองวิกฤตแล้วรู้สึกท้อแท้หรือเป็นปัญหาก็จะไม่รู้สึกจบสิ้นและก็จมอยู่ตรงนั้น แต่ "คนที่เป็นนักบริหารต้องเห็นวิกฤตเป็นโอกาส" วิกฤตไม่ใช่สิ่งที่เราต้องพยายามหลีกเลี่ยง แต่มันเป็นบททดสอบความเป็นนักบริหารว่าเราจะแก้ไขและผ่านพ้นตรงนั้นได้อย่างไร หากตื่นตระหนกไม่เข้าใจสถานการณ์หรือไม่นิ่งต่อสถานการณ์ก็จะทำให้สูญเสียความสามารถในการคิดเพื่อที่จะหาทางออก นักบริหารต้องไม่ตระหนก แต่ต้องคิดว่าจะทำอย่างไรเพื่อที่จะรับมือวิกฤตและหาทางออกด้วย "สติ" ในการแก้ปัญหา การเป็นนักบริหารต้อง "นิ่งแต่ตื่นรู้" อย่าให้ความตื่นตระหนกครอบงำการตัดสินใจ เพราะจะทำให้ตัดสินใจไม่รอบด้าน และ "ต้องเป็นผู้ฟังด้วยความเข้าใจ" บางคนฟังแต่ไม่เอาไปคิดต่อ เข้าหูซ้ายทะลุหูขวานั่นคือไม่ได้ฟัง การฟังสำคัญว่าถ้าเข้าใจที่จะเข้าใจข้อมูลข้อเท็จจริง และเสียงที่เป็นการแสดงความทุกข์ของประชาชน ทำให้เราได้เข้าใจความเป็นจริงได้มากที่สุด ใช้สติทำความเข้าใจแล้วต้องรู้ให้ครบถ้วนรอบด้านก่อนที่จะตัดสินใจบนฐานข้อมูลข้อเท็จจริงที่เป็นจริงและต้องตัดสินใจด้วยความยุติธรรม ไม่เอนเอียงหรือเลือกปฏิบัติ ต้องฟังให้มาก คิดให้รอบคอบ ก่อนตัดสินใจ
ประการที่ 5. "ความยุติธรรมและความไว้วางใจเป็นต้นทุนที่แท้จริง" อำนาจของการบริหารไม่ได้อยู่ที่ตำแหน่งว่าเป็นผู้ว่าฯ เป็นรองผู้ว่าฯ ปลัดกระทรวง รองปลัดกระทรวง หรือเป็นรัฐมนตรี แต่อยู่ที่ "ความไว้วางใจ" ทั้งผู้ใต้บังคับบัญชา และประชาชนที่เราต้องรับผิดชอบ นั้นคือ "หัวใจที่สำคัญ" ถ้าตัดสินใจอะไรอย่างไม่ลำเอียง ตัดสินใจบนทางที่ให้เกียรติ รับฟัง มองเขาและเราเท่าเทียมกัน มีความเป็นมนุษย์เหมือนกัน เพราะสิ่งที่เขามี อาจไม่เท่าเรา แต่เขาก็มีสิ่งที่เขาเหนือกว่าเรา บางเรื่องเขารู้ดีกว่าเราเพราะเป็นประสบการณ์ตรงของเขา บางเรื่องเรารู้ไม่เท่าเขา ดังนั้น ถ้าเรารับฟังเข้าใจเขาอย่างเป็นมนุษย์เหมือนกัน เราก็สามารถตัดสินใจ กล้ายืนหยัดอยู่บนสิ่งที่ถูกต้อง สามารถบริหารได้ตรงตามความเป็นจริงทั้งหมดได้ สิ่งเหล่านี้เป็นต้นทุนทางสังคมที่ทำให้เรานำพาองค์กร นำพาจังหวัดเดินไปได้อย่างมั่นคง โดยมีความไว้วางใจของประชาชนเป็นฐาน ทำให้ประชาชนสัมผัสความจริงใจของเรา เขาจะให้ความร่วมมือกับเราได้จริง เขาจะเดินไปกับเราได้จริง
ประการที่ 6. ต้องเข้าใจเรื่องความหลากหลาย เพราะต้องทำงานกับคนทุกระดับ ตั้งแต่ผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด นักธุรกิจไปจนถึงเกษตรกร และประชาชนกลุ่มเปราะบางหลากหลายกลุ่มในพื้นที่ที่ห่างไกล เราต้องฟังและเคารพแม้เสียงนั้นจะเล็กที่สุดเพราะไม่เสมอไปว่าเสียงส่วนใหญ่ถูกเสียงที่เล็กที่สุดสามารถยืนอยู่กับข้อเท็จจริงและถูกต้องได้ เพราะฉะนั้นเราจะไม่ละเลยทุกเสียงที่พูดมา แต่การจะเลือกใช้ข้อมูลทุกชุดที่มีอยู่มาตัดสินใจนั่นคือดุลพินิจ คือวิจารณญาณ คือประสบการณ์ของชีวิต ต้องเข้าใจความแตกต่างและใช้ความแตกต่างนั้นให้มันเป็นพลังที่สร้างสรรค์ "นักบริหารที่ดีต้องมองเห็นคุณค่าของทุกคนและต้องสร้างความร่วมมือได้กว้างไกลกว่าที่เราคิด"
.
ประการที่ 7. "การพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง" นักบริหารที่ดีต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลาทั้งจากความสำเร็จและความผิดพลาด นำความผิดพลาดยกเป็นครูเป็นสิ่งที่จะทำให้เรามีประสบการณ์ที่ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น พร้อมเปิดใจรับฟังข้อเสนอแนะต่าง ๆ ใช้บทเรียนเก่าเพื่อก้าวไปข้างหน้าไม่ใช่เพื่อถอยหลัง นักบริหารที่ดีต้องไม่หยุดการพัฒนา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจุบันโลกมันเปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก วันนี้คุยกันอย่างนึงพรุ่งนี้ความรู้ใหม่มันเกิดขึ้น วันนี้ประเมินว่าใช่พรุ่งนี้มีปัจจัยเสริมเข้ามามันก็เปลี่ยนแปลงได้ โลกยุคใหม่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาเร็ว เพราะฉะนั้นเราต้องเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงให้ได้ตลอดเวลาเพื่อทำให้เรามีเครื่องมือในการตัดสินใจต่างๆได้มากขึ้น
"นักบริการระดับสูงต้องมองไกลแต่แก้ปัญหาใกล้ ๆได้ เป็นทั้งนกและหนอน เข้าใจคนเพราะคนคือหัวใจของการแก้ไข การเปลี่ยนแปลง และการไปสู่ความสำเร็จ และต้องรู้จักใช้วิกฤตให้เป็นโอกาส ไม่ได้ใช้วิกฤตให้เราตื่นตระหนก แต่ทำให้เราตื่นรู้ที่จะแก้ปัญหา และสิ่งที่สำคัญ เราต้องซื่อตรงต่อข้อเท็จจริง ใช้การบริหารประสานทรัพยากรต่าง ๆ ให้ตรงกับข้อเท็จจริง เพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่เราต้องทำ และอย่าหยุดนิ่งต่อการพัฒนาตนเอง เพราะเป้าหมายต่อไปมิใช่เพียงการเป็นรองอธิบดีหรือรองผู้ว่าราชการจังหวัด ถ้ามีความสามารถ มีศักยภาพ เรายังมีภารกิจที่ต้องทำอีกมากเหมือนกัน และขอย้ำว่า "หากทำสิ่งเหล่านี้สำเร็จ สิ่งที่จะได้รับไม่ใช่เพียงความสำเร็จในตำแหน่งเท่านั้น แต่คือ "ความศรัทธาในหัวใจของผู้ใต้บังคับบัญชาและหัวใจประชาชน" และนั่นคือเกียรติยศสูงสุดของนักปกครองที่เป็นนักบริหารของกระทรวงมหาดไทย" รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในช่วงท้าย
ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า การศึกษาอบรมหลักสูตรนักปกครองระดับสูง (นปส.) ของกระทรวงมหาดไทย ได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2516 เป็นหลักสูตรการฝึกอบรมนักบริหารระดับสูงที่คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน หรือ ก.พ. รับรองให้ผู้ผ่านการศึกษาอบรมเป็นผู้มีคุณสมบัติเสมือนได้ผ่านการศึกษาอบรมหลักสูตรนักบริหารระดับสูงของสำนักงาน ก.พ. โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อให้ผู้เข้ารับการศึกษาอบรมมีความรู้ ทักษะ ทัศนคติ วิสัยทัศน์ ที่สอดคล้องกับการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง ยึดมั่นการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความซื่อสัตย์ สุจริต ยุติธรรม เสียสละ ดำรงตนอยู่ในศีลธรรม มีคุณธรรมจริยธรรม และเป็นนักปกครองที่ดี
สำหรับการศึกษาอบรม นปส. รุ่นที่ 84 มีระยะเวลารวม 11 สัปดาห์ ระหว่างวันที่ 1 ก.ย. - 14 พ.ย. 2568 ณ กระทรวงมหาดไทย และวิทยาลัยมหาดไทย อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โดยมีกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งในห้องเรียนและนอกสถานที่ ได้แก่ 1. การเรียนรู้ทักษะการทำงานเป็นทีม ด้วยการฝึกอบรมวิชาลูกเสือ ณ ค่ายลูกเสือวชิราวุธ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี 2. การเรียนรู้จากการปฏิบัติ (Action Learning) จากการศึกษาข้อมูลจริงในพื้นที่ชุมชน/หมู่บ้าน โดยนำองค์ความรู้ต่าง ๆ ในห้องเรียนไปประยุกต์ใช้ในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในพื้นที่ 3. การศึกษาดูงานนอกสถานที่ อาทิ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ การพัฒนา นวัตกรรมในองค์กร การบูรณาการการทำงานเพื่อป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในระดับพื้นที่ 4. การจัดทำรายงานการศึกษาส่วนบุคคลและรายงานกลุ่มเพื่อเสนอแนะแนวทางการบริหาร การแก้ไข/พัฒนา หรือข้อข้อเสนอเชิงนโยบาย และนำไปสู่การปฏิบัติ เพื่อ "การบำบัดทุกข์ บำรุงรุงสุข" ประชาชน โดยผู้สำเร็จการศึกษาอบรมต้องมีคะแนนประเมินไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 ทั้งด้านวิชาการและด้านพฤติกรรม