อว. จับมือ จุฬาราชมนตรี ตั้งสภานักวิชาการมุสลิมแห่งประเทศไทย กำหนดแผนยุทธศาสตร์ MT-Vision 2030 สนองนโยบายรัฐบาล

อว. จับมือ จุฬาราชมนตรี ตั้งสภานักวิชาการมุสลิมแห่งประเทศไทย กำหนดแผนยุทธศาสตร์ MT-Vision 2030 สนองนโยบายรัฐบาล





Image
ad1

เปิดหน้าประวัติศาสตร์ความร่วมมือด้านวิชาการระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กับสำนักจุฬาราชมนตรี ในการเปิดตัวสภานักวิชาการมุสลิมแห่งประเทศไทย โดยการสนับสนุนของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ในโครงการศูนย์กลางความรู้ด้านมุสลิมไทย (Hub of Knowledge on Muslim Thai) ซึ่งดำเนินการโดย วิทยาลัยนานาชาติอิสลามกรุงเทพ มหาวิทยาลัยเกริก และศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภายในงานประชุมวิชาการระดับนานาชาติ 3rd International Conference of International Islamic College Bangkok, Krirk University

นับเป็นวันเริ่มต้นการขับเคลื่อนเครือข่ายนักวิชาการมุสลิมในประเทศครั้งสำคัญ นั่นคือ ‘การเปิดตัวสภานักวิชาการมุสลิมแห่งประเทศ’ ซึ่งเป็นการรวมตัวของนักวิชาการ อาจารย์ นักวิจัย ชาวมุสลิมที่มีความสำคัญที่สุดในประเทศไทย โดยมีนักวิชาการมุสลิมจากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ จากหลากหลายสาขา โดยมีคณะกรรมการผู้ก่อตั้งและสมาชิกเข้าร่วมกว่า 60 คน โดยมีเลขานุการจุฬาราชมนตรี นายประสิทธิ์ มะหะหมัด เป็นประธานเปิดการประชุม ในฐานะผู้แทนจุฬาราชมนตรี อาจารย์อรุณ บุญชม และแพทย์หญิงเพชรดาว โต๊ะมีนา ในฐานะที่ปรึกษากิตติมศักดิ์

ภายในงานเปิดตัวในครั้งนี้มีการประชุมใหญ่วิสามัญครั้งที่ 1 ของสภานักวิชาการมุสลิมแห่งประเทศไทยพร้อมกันด้วย คณะกรรมการผู้ก่อตั้งผ่านความเห็นจัดตั้ง สภานักวิชาการมุสลิมแห่งประเทศไทย โดยใช้ชื่อภาษาอังกฤษว่า Muslim Academic Council of Thailand และชื่อภาษาอาหรับคือ مجلس الأكاديميين المسلمين في تايلاند โดยมีประธานสภาฯ คือ ศาสตราจารย์ ดร. จรัญ มะลูลีม และรองประธานสภาอีก 3 ท่าน คือ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อับดุลเลาะ หนุ่มสุข รองประธานด้านศาสนา รองศาสตราจารย์ ดร.ปกรณ์ ปรียากร รองประธานด้านสังคมศาสตร์ และ ดร.พรพิมล มะหะหมัด รองประธานด้านวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี นอกจากนั้นยังมีคณะกรรมการผู้ก่อตั้งที่มีบทบาทสำคัญต่อสังคมมุสลิมจำนวนมาก อาทิ รศ.ดร.อิสลามอีลลุตฟี จะปะกียา อธิการบดีมหาวิทยาลัยฟาฏอนี รศ.ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดร.สราวุธ 

และซัน รองคณบดีฝ่ายบริหารและวิเทศสัมพันธ์ วิทยาลัยนานาชาติอิสลามกรุงเทพ มหาวิทยาลัยเกริก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปรีชา สะแลแม อธิการบดีมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ ผศ.ดร.หิรัญ ประสารการ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ศาสตราจารย์ ดร.มุฮำหมัดซากี เจ๊ะหะ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยฟาฏอนี ดร.อำพล ขำวิลัย คณบดีวิทยาลัยนานาชาติการบินและอวกาศ มหาวิทยาลัยเกริก ดร.อิมรอน โสะสัน มหาวิทยาลัยขอนแก่น รองศาสตราจารย์ ดร.สามารถ ทองเฝือ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปริญญา หวันเหล็ม มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม และอาจารย์ซารีฮาน ขวัญคาวิน ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายส่งเสริมศักยภาพวิจัยและการพัฒนาอย่างยั่งยืน วิทยาลัยนานาชาติอิสลามกรุงเทพ มหาวิทยาลัยเกริก ในฐานะเลขานุการ เป็นต้น

เลขานุการจุฬาราชมนตรี ในฐานะผู้แทนจุฬาราชมนตรี ได้กล่าวมอบนโยบายเพื่อผลักดันสภานักวิชาการมุสลิมแห่งประเทศไทย โดยมีใจความสำคัญว่า

“สภาแห่งนี้จะเป็นคลังสมองมุสลิมให้กับองค์กรทางศาสนาอิสลาม เป็นแหล่งรวบรวมนักวิชาการมุสลิม และเป็นกลไกกลางทางวิชาการของนักวิชาการมุสลิมที่ทำหน้าที่ให้คำปรึกษา เสนอแนะแนวทาง และประสานการดำเนินงานทางวิชาการ และยกระดับสภาแห่งนี้เป็นศูนย์กลางความรู้ด้านมุสลิมไทยของนักวิชาการมุสลิมของประเทศไทย และทำหน้าที่เป็นสำนักเลขาด้านวิชาการของสำนักจุฬาราชมนตรี ซึ่งมีพันธกิจสำคัญคือการดำเนินการจัดทำแผนแผนยุทธศาสตร์มุสลิมไทย MT-Vision 2030 ในระยะ 5 ปี” ในช่วงท้ายเลขานุการได้กล่าวถึงนโยบาย 6 ข้อเร่งด่วนของท่านจุฬาราชมนตรี ดังต่อไปนี้

1. เป็นศูนย์กลางความรู้ด้านมุสลิมไทยของนักวิชาการมุสลิมของประเทศไทย และทำหน้าที่เป็นสำนักเลขาด้านวิชาการของสำนักจุฬาราชมนตรี

2. ร่างแผนยุทธศาสตร์มุสลิมไทย MT-Vision 2030 ในระยะ 5 ปี 2568 – 2572

3. แต่งตั้งมีคณะทำงานด้านวิชาการเพื่อประสานความร่วมมือกับกระทรวงตามแผนยุทธศาสตร์

4. จัดทำข้อเสนอโครงการตามตัวชี้วัดของแผนยุทธศาสตร์

5. สร้างเครือข่ายนักวิชาการมุสลิมในต่างประเทศในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับแผนยุทธศาสตร์ เช่น การส่งเสริมการสร้างเครือข่ายในตะวันออกกลาง

6. สร้างการรับรู้ด้านวิชาการสู่สังคมทั้งไทยและต่างประเทศ ผ่านงานบริการวิชาการ เช่น ประชมุวิชาการระดับชาติและนานาชาติ การอบรมเชิงวิชาการ

สอดคล้องกับศาสตราจารย์ ดร. จรัญ มะลูลีม ประธานสภาฯ กล่าวถึงความสำคัญของสภาแห่งนี้ว่า “เป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นเวทีรวมพลังของนักวิชาการมุสลิมจากหลากหลายสถาบันและภูมิภาคทั่วประเทศ โดยมีเป้าหมายหลักในการส่งเสริมการพัฒนาทางด้านวิชาการของนักวิชาการมุสลิมจากหลากหลายศาสตร์ เช่น สังคมศาสตร์ วิทยาลัยศาสตร์และเทคโนโลยี และศาสนา ต้องทำหน้าที่เป็น “คลังสมอง” (Think Tank) ของสังคมมุสลิมที่เชื่อมโยงองค์ความรู้ในทุกด้านเพื่อตอบสนองสังคมมุสลิมตลอดจนสังคมไทยด้วย”

นอกจากนั้นการประชุมครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากแพทย์หญิงเพชรดาว โต๊ะมีนา ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์  สภาฯ ในฐานะผู้ผลักดันและเริ่มต้นของสภาแห่งนี้ ตั้งแต่ครั้งดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เริ่มตั้งแต่การจัดประชุมร่วมของนักวิชาการกลุ่มเล็กเพื่อระดมความคิดเห็น ตลาดจนร่วมกับสำนักจุฬาราชมนตรีเพื่อจัดตั้งสภาแห่งนี้มาจนถึงปัจจุบัน และได้รับไว้วางใจจากนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล ให้สานต่องานด้านวิชาการของกระทรวง อว. ต่อไปและเป็นนิมิตหมายที่ดีที่จะสามารถร่วมกันทำงานของสภาต่อไปได้ ในตอนหนึ่งแพทย์หญิงเพชรดาวได้กล่าวถึงการทำงานในการจัดตั้งว่า

“ดิฉันในฐานะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ในขณะนั้นและยังเป็นที่ปรึกษาจุฬาราชมนตรีในคราวเดียวกันด้วย พยายามที่จะทำงานอย่างสอดประสานกันเพื่อให้สภานักวิชาการของเราเกิดขึ้นได้ เพื่อเป็นองค์กรกลางทางวิชาการของนักวิชาการมุสลิมจากทั่วประเทศ และขอชื่นชมการรวมตัวและสามารถจัดตั้งสภานักวิชาการมุสลิมแห่งประเทศไทยครั้งนี้ ซึ่งเป็นการจัดตั้งตามเจตนารมณ์ตั้งแต่ต้นที่ต้องการผลักดันการทำงานที่เป็นเอกภาพของนักวิชาการมุสลิม เพื่อจัดสรรแผนการทำงานทั้งด้านวิชาการและวิจัย และยังเป็นหมุดหมายสำคัญในการสร้างเครือข่ายต่างประเทศด้วย”

การเปิดตัวสภาแห่งนี้ ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากนักวิชาการมุสลิมทั่วประเทศ หลากหลายสถาบันทั้งรัฐบาลและเอกชน ทั้งสายสังคมศาสตร์และวิทยาศาสตร์ รวมถึงการร่วมมือร่วมใจกันแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา อยู่บนพื้นฐานทางวิชาการที่เคารพกันและกัน จะเป็นเสมือนการเปิดพื้นที่ทางวิชาการที่มีแนวทางเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับสังคมมุสลิมไทย การประชุมครั้งนี้เป็นเพียงการเริ่มต้นจุดประกาย ข้อสรุปที่เกิดขึ้นจากการประชุมครั้งนี้จะเป็นแนวปฎิบัติเพื่อสร้างคณะทำงานตามสาขาการเชี่ยวชาญของนักวิชาการเพื่อจัดทำแผนยุทธศาสตร์และขับเคลื่อนการทำงานด้านบริการวิชาการควบคู่กันไปด้วย

กล่าวกันว่า ชีวิตนั้นแสนสั้น แต่ความรู้และศิลปะนั้นยืนยาว เราต่อสู้เพื่อความยืนยาวของความรู้ ที่จะเป็นดั่งดวงประทีบ โดยเฉพาะความรู้ของมุสลิมไทย ที่จะเป็นที่มาของสภานักวชิาการมุสลิม อยากให้สภานี้มีคุณูประการกับทุกๆคน ให้เป็นดั่งนกอินทรีย์ซึ่งแม้จะบินอยู่บนฟากฟ้า แต่สายตาก็จับจ้องที่บนพื้นดินประธานสภากล่าวส่งท้ายเพื่อปิดการประชุม