คลังฯ เตรียมเก็บภาษีเค็ม หลังคนไทยเป็นโรคไตกว่า 8 ล้านคน  ชี้ผงปรุงรส ซอสปรุงรส น้ำปลา อาหารกึ่งสำเร็จรูป รวมถึงขนมขบเคี้ยว

เก็บภาษีเค็ม

คลังฯ เตรียมเก็บภาษีเค็ม หลังคนไทยเป็นโรคไตกว่า 8 ล้านคน  ชี้ผงปรุงรส ซอสปรุงรส น้ำปลา อาหารกึ่งสำเร็จรูป รวมถึงขนมขบเคี้ยว





ad1

วันที่ 26 พ.ย.64 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังได้มอบหมายให้กรมสรรพสามิต ไปศึกษาแนวทางการเก็บ "ภาษีความเค็ม" เพื่อควบคุมปริมาณการใช้โซเดียมในส่วนประกอบของอาหาร เนื่องจากส่งผลเสียระยะยาวต่อสุขภาพ ทั้งนี้ในเบื้องต้นจะใช้รูปแบบเดียวกับการจัดเก็บภาษีความหวาน ที่ใช้ปริมาณเป็นตัวกำหนดอัตราการเสียภาษี ส่วนจะเริ่มใช้เมื่อไหร่นั้น ยังต้องรอดูความเหมาะสมของสถานการณ์รวมทั้งความพร้อมของทุกฝ่าย ทั้งผู้ประกอบการ ภาคอุตสาหกรรม ร้านอาหาร และผู้บริโภค
.
“หลังจากใช้ภาษีความหวาน ก็พบว่าผู้ประกอบการมีการลดปริมาณการใช้น้ำตาลในอาหารและเครื่องดื่มลง และหันไปใช้สารให้ความหวาน เช่น หญ้าหวานแทน ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกในการบริโภคมากขึ้น ดังนั้นภาษีจึงมีส่วนสำคัญในผลักดันให้การบริโภคโซเดียมลดลง แต่ขณะเดียวกันก็ต้องรณรงค์ให้ผู้บริโภคตระหนักรู้และลดการบริโภคด้วยตัวเองด้วย” นายอาคม กล่าว
.
ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลก ได้กำหนดปริมาณเหมาะสมในการบริโภคโซเดียม ไม่ควรเกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน ขณะที่คนไทยบริโภคโซเดียมเฉลี่ย 3,600 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งการจะลดปริมาณบริโภคโซเดียมของคนไทยลง จะเป็นแบบค่อยไปค่อยไป โดยเป้าหมายแรกตั้งเป้าลดการบริโภคลงให้เหลือ 2,800 มิลลิกรัมต่อวันต่อคน 
.
ดังนั้นการกำหนดอัตราภาษีโซเดียม จะช่วยจูงใจให้ผู้ประกอบการผลิตสินค้าอาหารที่มีส่วนประกอบของโซเดียมลงลด
.
นายอาคม กล่าวต่อว่า สำหรับภาษีจากความเค็ม จะจัดเก็บทั้งจากอาหารสำเร็จรูป และอาหารกึ่งสำเร็จรูป ขนมขบเคี้ยว รวมถึงเครื่องปรุงอาหารทั้งหมด เช่น ผงชูรส น้ำปลา เกลือ ผงปรุงรส เป็นต้น โดยจะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาช่วยดูแล ได้แก่ สำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม ขณะที่ร้านอาหาร ภัตตาคาร ก็ต้องมีองค์การอาหารและยา (อย.) เข้ามาช่วยดูคุณภาพ โดยจะใช้ระบบเดียวกับภาษีความหวานที่ต้องมีการวัดปริมาณที่ชัดเจน
.
ด้าน นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ นายกสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทยและประธานเครือข่ายลดบริโภคเค็ม กล่าวว่า ประเทศไทยมีค่าใช้จ่ายการรักษาสุขภาพของประชาชนราว 100,000 ล้านบาท  ซึ่งเป็นผลมาจากการบริโภคเค็ม จาก 5 โรคเรื้อรัง  คือ ความดันโลหิตสูง 13 ล้านคน โรคไตเรื้อรัง 8 ล้านคน มีค่าใช้จ่ายฟอกไตปีละ 20,000 ล้านบาท  หัวใจ 500,000 คน สโตรก 500,000 คน เบาหวาน 4 ล้านคน ถือเป็นภาระค่าใช้จ่ายงบประมาณที่สูงมาก และเป็นความสูญเสียทางเศรษฐกิจด้วย ซึ่งภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นทุกปีๆละ 10-15%  ดังนั้นเพื่อลดภาระงบประมาณค่าใช้จ่ายของภาครัฐในการดูแลสุขภาพของประชาชน ก็ต้องรณรงค์ให้ความรู้การบริโภค และการจัดเก็บภาษีความเค็ม จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่จะดำเนินการ ที่ควรกำหนดหลักเกณฑ์ความเค็มในการจัดเก็บ เช่น ความเค็มมาก เก็บมาก เค็มน้อยเสียน้อย  เป็นต้น