ผบช.ก.ทลายโกดังเก็บรถรับจํานํา รวบเครือข่ายนายทุนปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยโหด พบเงินหมุนเวียน 49 ล้านบาท

ทลายเครือข่าวดอกเบี้ยโหด

ผบช.ก.ทลายโกดังเก็บรถรับจํานํา รวบเครือข่ายนายทุนปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยโหด พบเงินหมุนเวียน 49 ล้านบาท





ad1

วันที่ 29 ตุลาคม  พล.ต.ท. จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. นำทีมตํารวจศูนย์ปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์และรถจักรยานยนต์กองปราบปรามฯ(ศปจร.บก.ป.) ร่วมกันทลายโกดังเก็บรถรับจํานําเครือข่ายนายทุน ปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยโหด จับกุมผู้ต้องหาได้จำนวน 4 คน ประกอบด้วย นายณัฎฐชัย คูธารทอง อายุ 29 ปี นายทุนเงินกู้ , นายกัญฑ์พงศ์ ปันวารี  อายุ 31 ปี ผู้จัดการ ,นายภัทรดนัย พงษ์จินดา อายุ 21 ปี และ นายกุลธวัช อิ่มอ่อง  อายุ 38 ปี พนักงานดูแลโกดัง พร้อมตรวจยึดรถของกลางจำนวน 163 คัน แบ่งเป็นรถยนต์ 84 คัน รถจักรยานยนต์ 79 คัน


.
พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวว่า สืบเนื่องชุดจับกุมได้สืบทราบว่า มีเฟซบุ๊กเพจชื่อว่า “รับจํานํารถ พิษณุโลก อนุมัติง่าย วงเงินสูง carformoney” มีพฤติการณ์ปล่อยเงินกู้นอกระบบ ให้กับบุคคลทั่วไป เพื่อเรียกเก็บดอกเบี้ยร้อยละ 10 ต่อเดือนเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกําหนด โดยมีข้อแม้ให้ผู้ที่มากู้เงินจะต้องนํารถมาค้ำประกัน หรือ นำรถมาจำนำ จากนั้นกลุ่มนายทุนดังกล่าวก็จะนำของลูกหนี้มาจอดซ่อนเก็บไว้ที่ โกดังไม่มีเลขที่ ตั้งอยู่ที่ ม.5 ถ.มิตรภาพ อ.เมือง จ.พิษณุโลก จึงสั่งการให้ชุดจับกุมนำกำลังลงพื้นที่สืบหาเบาะแสกว่า 2 เดือน จนสามารถรวบรวมพยานหลักฐานขอศาลพิษณุโลกออกหมายจับ จนปฏิบัติการจับกุมครั้งนี้
.


พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวว่า จากการสอบปากคำผู้ต้องหาทั้ง 4 คนทราบว่า ขบวนการเงินกู้ดังกล่าวมีการแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน โดยนายณัฎฐชัย จะทําหน้าที่เป็นนายทุน ส่วนนายกัญฑ์พงศ์ จะทำหน้าที่เป็นผู้จัดการเรื่องการติดต่อ โอนเงินและทวงเงินกับลูกค้า และจะได้รับเงินส่วนแบ่งจากนายณัฎฐชัย คิดเป็นร้อยละ 3 ของกําไรที่ได้รับ ส่วนนายภัทรดนัย และนายกุลธวัช เป็นเพียงลูกจ้างมีหน้าที่รับรถจากลูกค้ามาเก็บรักษาไว้ภายในโกดัง เมื่อลูกค้าจะไถ่รถคืนก็จะนํารถไปส่งมอบตามจุด ที่นัดหมาย ได้ค่าตอบแทนเป็นรายเดือนๆละ 15,000 บาท ส่วนเรตการคิดอัตราดอกเบี้ย จะคิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 10 ต่อเดือน คิดค่าจอดรถจักรยานยนต์ 300-500 บาท รถยนต์ 2,000 บาท ต่อครั้ง โดยหักดอกเบี้ยและค่าจอดรถจากการกู้เงินครั้งแรกกับลูกค้าทันที รวมถึงยังให้ลูกหนี้ทำการเซ็นโอนลอยล่วงหน้าเผื่อไว้ในกรณีที่ไม่สามารถคืนเงินต้นที่กู้ยืมได้เพื่อที่จะได้ยึดมาครอบครอง ส่วนรถที่ไม่สามารถโอนลอยได้ก็จะถูกนำไปปล่อยต่อในตลาดมืด  จากการตรวจสอบยังพบมีการกระทำผิดมาตั้งแต่ต้นปี 2563 จนถึงปัจจุบัน รวมถึงเมือตรวจสอบเส้นทางการเงินยังพบเงินหมุนเวียนเกือบ 50 ล้านบาท 

.
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทั้งฝ่ายเจ้าหน้าที่และฝ่ายลูกหนี้ เบื้องต้นจึงเปิดโอกาสให้ เจ้าหนี้และลูกหนี้มีการเจรจาประนอมหนี้ พร้อมทั้งจัดทําสัญญาประนอมหนี้ หรือสัญญากู้ยืมเงินฉบับใหม่ ขึ้นมา ก่อนส่งมอบคืนรถให้แก่ลูกหนี้ที่ดำเนินการเรื่องสัญญาฉบับใหม่แล้วเสร็จในวันนี้จำนวน 23 คัน 
.


ส่วนรถที่เหลืออยู่ระหว่างการเจรจาไกล่เกลี่ยของบริษัทไฟแนนซ์, เจ้าหนี้และลูกหนี้ จํานวน 127 คัน และอยู่ระหว่างการตรวจสอบความถูกต้องของตัวรถจากศูนย์พิสูจน์หลักฐานและกรมการขนส่งทางบก
จํานวน 13 คัน ในจำนวนนี้ ตรวจสอบเบื้องต้นพบ เป็นรถที่ถูกแจ้งหายไว้ในประเทศมาเลเซีย 1 คัน รถสวมทะเบียน 2 คัน และ รถที่มีการปลอมแปลงเอกสารการครอบครอง จำนวน 2 คัน 
.


สำหรับผู้ต้องหาทั้ง 4 คน แจ้งข้อหา “ร่วมกันให้บุคคลอื่นกู้ยืม เงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกําหนดและให้สินเชื่อส่วนบุคคลอันเป็นกิจการที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับการธนาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต” ก่อนนำตัวส่ง พนักงานสอบสวน กก.4 บก.ป. ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป.