ศาลรัฐบาลทหารเมียนมาสั่งคุกซูจีเพิ่ม 7 ปี คดีสุดท้ายข้อหาทุจริต รวมทั้งสิ้น 33 ปี

ศาลรัฐบาลทหารเมียนมาสั่งคุกซูจีเพิ่ม 7 ปี

ศาลรัฐบาลทหารเมียนมาสั่งคุกซูจีเพิ่ม 7 ปี คดีสุดท้ายข้อหาทุจริต รวมทั้งสิ้น 33 ปี





ad1

30 ธ.ค. 2565  เอเอฟพีรายงาน อองซานซูจี ผู้นำประชาธิปไตยของพม่าที่ถูกขับไล่ ถูกตัดสินจำคุกอีก 7 ปี ในขณะที่การพิจารณาอันยาวนานของเธอสิ้นสุดลงในวันศุกร์ (30) และจากคำตัดสินล่าสุดนี้ ทำให้ซูจีได้รับโทษจำคุกจากคดีทั้งหมดทั้งหมดนานกว่า 3 ทศวรรษ

ซูจี วัย 77 ปี ที่เป็นนักโทษของกองทัพนับตั้งแต่การรัฐประหารปีก่อน ถูกตัดสินว่ามีความผิดในทุกข้อกล่าวหาตั้งแต่การทุจริตคอร์รัปชั่นไปจนถึงการครอบครองวิทยุวอล์กกี้-ทอล์กกี้อย่างผิดกฎหมาย และละเมิดข้อจำกัดในการป้องกันโควิด

ในวันศุกร์ (30) เธอถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 7 ปี ในข้อหาทุจริต 5 กระทง ที่เกี่ยวข้องกับการว่าจ้าง บำรุงรักษา และจัดซื้อเฮลิคอปเตอร์สำหรับรัฐมนตรีในรัฐบาล ซึ่งเธอถูกกล่าวหาว่าก่อให้เกิดความสูญเสียต่อรัฐ

ซูจี ที่ถูกตัดสินจำคุกรวม 33 ปี จากการพิจารณาคดีนาน 18 เดือนในศาลที่กลุ่มสิทธิมนุษยชนต่างๆ มองว่าเป็นเรื่องหลอกลวง ดูสุขภาพแข็งแรง ตามการเปิดเผยของแหล่งข่าวทางกฎหมายที่คุ้นเคยกับคดี

“คดีทั้งหมดของเธอเสร็จสิ้นลงแล้ว และไม่มีการตั้งข้อหาเพิ่มกับเธออีก” แหล่งข่าว กล่าว

นักข่าวถูกกันไม่ให้เข้าร่วมในการพิจารณาคดี และทนายความของซูจีถูกห้ามพูดคุยกับสื่อ  สื่อทางการเมียนมาเผยแพร่ภาพถ่ายระยะไกลขณะที่เธออยู่ในห้องพิจารณาคดีเพียงครั้งเดียว ข้อมูลเกี่ยวกับคดีทั้งหมดจึงต้องอาศัยการเปิดเผยโดยทนายความเท่านั้น สัปดาห์ที่แล้วคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติหรือยูเอ็นเอสซี (UNSC) มีมติเป็นครั้งแรกเรียกร้องให้รัฐบาลทหารเมียนมาปล่อยตัวเธอ

วิน มี้น อดีตประธานาธิบดีพม่า ที่เป็นจำเลยร่วมกับซูจีในการพิจารณาคดีครั้งล่าสุด ได้รับโทษแบบเดียวกัน แหล่งข่าวระบุ และเสริมว่าทั้งคู่จะยื่นอุทธรณ์

กองทัพเมียนมากล่าวหาว่า มีการโกงอย่างกว้างขวางในการเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายน 2563 ที่พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยหรือเอ็นแอลดี (NLD) ของนางซู จีชนะเป็นสมัยที่ 2 หลังจากชนะอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งปี 2558 กองทัพได้ยกเลิกผลการเลือกตั้งโดยอ้างว่า พบการโกงมากกว่า 11 ล้านคะแนน ต่อมาได้รัฐประหารและจับกุมคนในรัฐบาลซู จี ทำให้เกิดการประท้วงทั่วประเทศ กองทัพใช้กำลังปราบปรามและมีคนพลัดถิ่นมากกว่า 1 ล้านคนตามข้อมูลของสหประชาชาติ