คดีแชทหวิว! ผลัดฟ้องผู้ต้องหา 1-3 ฝ่ายหญิง 6 วัน รายที่ 4 ยังคงหลบหนี-"ทนายตั้ม" จ่อฟ้องกลับอดีตรองนายกฯแจ้งความเท็จ กลั่นแกล้งให้ได้รับโทษทางอาญา

คดีแชทหวิวอดีตรองนายกฯ

คดีแชทหวิว! ผลัดฟ้องผู้ต้องหา 1-3 ฝ่ายหญิง 6 วัน รายที่ 4 ยังคงหลบหนี-"ทนายตั้ม" จ่อฟ้องกลับอดีตรองนายกฯแจ้งความเท็จ กลั่นแกล้งให้ได้รับโทษทางอาญา





ad1

12  ม.ค. 2566จากกรณีที่ทนายตั้ม ออกมาเปิดโปงพฤติกรรมของอดีตรองนายกรัฐมนตรีคนหนึ่ง คบชู้กับภรรยาของลูกความตนเอง ล่าสุดพนักงานสอบสวน สน.บางยี่ขัน เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2565 อดีตรองนายกฯ ที่ตกเป็นข่าว ส่งทนายความไปยื่นฟ้องข้อหาฉ้อโกงกับ 4 ผู้ต้องหา ประกอบด้วย หญิงสาวที่ตกเป็นข่าว สามีของหญิงสาว และบิดามารดาของหญิงสาว ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกง เรียกสินสอดและทรัพย์ที่ไปสู่ขอคืน

สำหรับไทม์ไลน์ของคดีนี้ ในเดือนตุลาคม 2565 ทนายตั้มบอกว่า ฝ่ายหญิงเริ่มมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป เริ่มตีตัวออกห่างจากสามี

  • 22 พฤศจิกายน 2565 อดีตรองนายกฯ ส่งทนายแจ้งความร่วมกันฉ้อโกงกับฝ่ายหญิง สามี และครอบครัว
  • 27 ธันวาคม 2565 สามีเข้าหารือทนายตั้ม ขอฟ้องหย่า หลังพบภาพโป๊และข้อความทางโทรศัพท์ ระหว่างภรรยากับอดีตรองนายกฯ
  • 10 ธันวาคม 2565 แถลงสื่อมวลชน จนทราบว่าใคร คือ อดีต รองนายกฯ ย.

จากไทม์ไลน์ จะเห็นว่า อดีตรองนายกฯ ไม่พอใจฝ่ายหญิงก่อนที่จะถูกแฉแล้ว จึงส่งทนายไปแจ้งความถูกฉ้อโกง กรณีขอสินสอดคืน แต่บ้านของฝ่ายหญิงไม่ยอมคืนเงินให้ ทำให้อดีตรองนายกฯ ไม่พอใจ และต้องการยุติความสัมพันธ์ก่อนแล้ว

อย่างไรก็ตาม กรณีนี้อดีตรองนายกรัฐมนตรี ย. แจ้งความร้องทุกข์ข้อหาร่วมกันฉ้อโกง เรียกสินสอดและทรัพย์ที่ไปสู่ขอ น.ส.ธ.กับบิดาและมารดามาเป็นภรรยาคืน โดยพ.ต.ท.วันชัย พันธพัฒน์ สว. (สอบสวน) สน.บางยี่ขัน นัดหมายให้ น.ส. ธ. นาย ก. ผู้เป็นสามี นาง ข. มารดาของ น.ส. ธ. และนาย พ. บิดาของ น.ส. ธ. นำตัวผู้ถูกกล่าวหาและสำนวนการสอบสวนส่งพนักงานอัยการอาญาตลิ่งชัน 2 หลังมีคำสั่งฟ้องแต่ปรากฏว่า นาย พ.ไม่ให้ความร่วมมือการสอบสวนก่อนหน้าและไม่เดินทางมาพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียก จึงขออนุมัติศาลอาญาตลิ่งชันออกหมายจับ และศาลอนุมัติหมายจับแล้ว จึงส่งสำนวนพร้อมตัวผู้ต้องหา 1-3 ให้พนักงานอัยการอาญาตลิ่งชัน เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 10 ม.ค. ที่ผ่านมา

หลังจากนั้น พ.ต.ท.วันชัย พันธพัฒน์ สว. (สอบสวน) สน.บางยี่ขัน ทำหนังสือแจ้งความคืบหน้าการสอบสวน (สรุปสำนวนส่งอัยการ) ที่ ตช 0015. (บก.น.7) 4 (ว.พ.) ลงวันที่ 10 ม.ค. “เรียน นาย ย.ผู้เสียหาย ตามที่ท่านแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีอาญาต่อพนักงานสอบสวน ดำเนินคดีกับ น.ส. ธ.ผู้ต้องหาที่ 1 นาย ก. ผู้ต้องหาที่ 2 นาง ข. ผู้ต้องหาที่ 3 และนาย พ. ผู้ต้องหาที่ 4 ข้อหาร่วมกันฉ้อโกง และพนักงานสอบสวนได้รับคำร้องทุกข์ไว้แล้วตามคดีอาญาที่ 546/2565 และพนักงานสอบสวนดำเนินการสอบสวนแล้วนั้น

“ขอแจ้งความคืบหน้าผลการดำเนินการของพนักงานสอบสวนให้ทราบดังนี้ 1. ขณะนี้พนักงานสอบสวนได้สรุปสำนวนสั่งฟ้อง น.ส. ธ. ผู้ต้องหาที่ 1 นาย ก. ผู้ต้องหาที่ 2 นาง ข. ผู้ต้องหาที่ 3 และนาย พ. ผู้ต้องหาที่ 4 ข้อหาร่วมกันฉ้อโกง และในส่วนผู้ต้องหาที่ 4 พนักงานสอบสวนได้ขออนุมัติศาลอาญาตลิ่งชันออกหมายจับและศาลอนุมัติหมายจับแล้ว ตามหมายจับที่ จ.4/2566 ลงวันที่ 5 ม.ค. 2566 และส่งสำนวนพร้อมตัวผู้ต้องหา 1-3 ให้พนักงานอัยการอาญาตลิ่งชัน 2 แล้ว ในวันที่ 10 ม.ค. 2566 และขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาคดีในชั้นอัยการในชั้นศาล

2. สิ่งที่ต้องดำเนินการต่อไป 2.1 เจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งติดตามจับกุมตัวนาย พ. ผู้ต้องหาที่ 4 ตามหมายจับเพื่อดำเนินการตามกฎหมายภายในอายุความ       2.2  ติดตามการพิจารณาคดีในชั้นอัยการในชั้นศาลต่อไป

3. ข้อเสนอ  แนะ (ถ้ามี) ขอให้ติดตามสอบถามผลพิจารณาคดีในชั้นอัยการในชั้นศาลกับพนักงานสอบสวนต่อไป หมายเหตุ หากท่านประสงค์จะแจ้งข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อการสอบสวนเพิ่มเติม หรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับผลการดำเนินการตามที่แจ้งข้างต้น สามารถติดต่อได้ที่ พ.ต.ท.วันชัย พันธพัฒน์ สว. (สอบสวน) สน.บางยี่ขัน”

สำหรับรายละเอียดคดีอาญาในชั้นศาลอาญาตลิ่งชัน มีรายงานว่า เช้าวันที่ 10 ม.ค. พนักงานสอบสวน สน.บางยี่ขัน นำคำร้องขอผัดฟ้องคดีที่กล่าวหา นาง ธ. นายจ. กับนาย ก.และนาง ข. (มารดาและบิดาของนาง ธ.) เป็นผู้ต้องหาที่ 1-4 ตามลำดับ ฐานร่วมกันฉ้อโกงตามป.อาญามาตรา 341 ประกอบ 83 มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี โดยคำร้องผัดฟ้อง ขอผัดฟ้องเฉพาะผู้ต้องหาที่ 1-3 เท่านั้น เพราะผู้ต้องหาที่ 4 ยังหลบหนี และไม่ได้นำตัวผู้ต้องหามา เพราะปล่อยตัวในชั้นสอบสวน และส่งสำนวนพร้อมความเห็นควรฟ้องตามป.วิอาญามาตรา 140, 141 แก่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญาตลิ่งชันแล้ว โดยอัยการนัดมาฟังคำสั่งกลางเดือนก.พ.นี้ 

คำร้องผัดฟ้องใจความว่า ระหว่างปี 64-65 นาย ย. ผู้กล่าวหาได้คบหากัน กับนางธ.โดยไม่ทราบว่านางธ.มีสามีและจดทะเบียนแล้ว จากนั้นได้มอบทรัพย์สินให้จำนวนมาก (ประมาณ 10 ล้านบาท) โดยมีผู้ต้องหาที่ 3-4 ร่วมหลอกลวง เมื่อได้ทรัพย์สินแล้วก็หลบหน้าไปไม่สามารถติดต่อได้ ต่อมาจึงทราบว่า ผู้ต้องหาที่ 1 กับ 2 จดทะเบียนสมรสกันแล้ว และยังอยู่กินกัน อีกทั้งได้มอบทรัพย์สินทั้งหมดแก่นาย จ. เมื่อผู้กล่าวหาไปร้องทุกข์แล้ว พนักงานสอบสวนออกหมายเรียกผู้ต้องหามา มีผู้ต้องหาที่ 4 ไม่มา จึงขอศาลออกหมายจับแล้ว ขอให้ผัดฟ้องมีกำหนด 6 วัน ตั้งแต่ 10 ถึง 15 ม.ค.นี้ (ผัดได้ 5 ครั้ง ครั้งละหกวัน) ศาลรับคำขอผัดฟ้องไว้ต่อไป

ด้านนายษิทา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เปิดเผยทิศทางการต่อสู้คดี ว่าหากฝ่ายอดีตรองนายกฯ ให้การกับศาลว่าถูกแบล็กเมล์หรือถูกหลอกให้รัก ก็สามารถทำได้ แต่ศาลจะรับฟังหรือไม่เป็นอีกเรื่อง เนื่องจากพฤติกรรมเห็นชัดว่ามีการให้เงินให้ฝ่ายหญิงโดยเสน่หา ไม่ใช่การฉ้อโกง ทั้งนี้จากข้อมูลอดีตรองนายกฯ รู้ดีว่าผู้หญิงมีสามีอยู่แล้ว แต่หลังจากที่ถูกฝ่ายสามีจับได้ท่าทีก็เปลี่ยนไป ต้องการเลิกกับผู้หญิง ก่อนทวงทรัพย์สินคืนจนเป็นคดีความกัน

คดีนี้ต้องแยกเป็น 2 ส่วน และตัวอดีตรองนายกฯ ต้องยอมรับว่าเข้ามายุ่งกับฝ่ายหญิงที่มีครอบครัวอยู่แล้วก่อน แต่พอสามีเขาจับได้ ก็จะมาทวงทรัพย์สินคืน ส่วนเรื่องการถูกแบล็กเมล์ นายษิทา มองว่า ไม่น่าใช่ เพราะตนมีหลักฐานการส่งภาพลับไปมาระหว่างกัน ซึ่งมองว่าเป็นเรื่องรสนิยมทางเพศมากกว่า ขณะที่ปัจจุบันทางฝ่ายหญิงกับลูกความของตัวเอง ตอนนี้แยกกันอยู่แล้ว เหลือรอจัดการเรื่องฟ้องหย่า ซึ่งในส่วนของการฟ้องร้องตัวเองมองว่าหลักฐานที่มีอยู่ทั้งภาพถ่าย คลิปวิดีโอ ข้อความการสนทนาทางแชท เพียงพอต่อการฟ้องร้องดำเนินคดีเช่นกัน และเตรียมฟ้องกลับอดีตรองนายกฯ เรื่องแจ้งความเท็จ กลั่นแกล้งให้ได้รับโทษทางอาญาด้วย