กรณีศึกษาความย้อนแย้งหรือขบวนการยุติธรรมที่ไร้หลักยึด*

ความย้อนแย้งหรือขบวนการยุติธรรมที่ไร้หลักยึด

กรณีศึกษาความย้อนแย้งหรือขบวนการยุติธรรมที่ไร้หลักยึด*





ad1

15 ก.ค.2565   เรามักได้ยินคำว่า "ความยุติธรรมที่มาช้า ก็เกิดอยุติธรรมได้" จากกรณีนายนิพนธ์ บุญญามณี อดีตนายก อบจ.สงขลา ได้ตรวจสอบพบว่าบริษัทพลวิศว์ เทคพลัสจำกัดทำเอกสารที่เป็นเท็จ จนถึงมือ ปปช.ก็ได้นำมาฟ้องในคดีปลอมแปลงเอกสาร การฮั้วการประมูล จนกรรมการผู้ถือหุ้นบริษัทร่วมโกงต่างหลบหนี แต่ในขณะเดียวกัน ปปช.ชี้มูลว่านายนิพนธ์ปฏิบัติมิชอบ ไม่จ่ายเงินค่างวดตามสัญญาต่อบริษัทคู่กรณี และจากการตรวจสอบข้อเท็จจริงส่งให้อัยการ ๆ

พิจารณาแล้วสั่งไม่ฟ้องนายนิใพนธ์ แต่ ปปช.กลับมีมติฟ้องนายนิพนธ์ด้วย ปปช.เอง จึงเกิดคำถามว่าอัยการบกพร่องในการตรวจสอบหลักฐานหรือ ปปช.ต้องการพิสูจน์ความเชื่อของตัวเอง  ซึ่งในข้อเท็จจริง  ปปช.ฟ้องบริษัทพลวิศว์ เทคพลัสจำกัดว่ามีความผิด ทุจริต ปลอมแปลงเอกสาร ซึ่งควรสอดคล้องกับการสั่งการของนายนิพธ์ที่ถือว่าสัญญานี้เป็นโมฆะตั้งแต่ต้น ทั้งการไม่จ่ายเงินนายนิพนธ์ได้ปรึกษาผู้ว่าราชการจังหวัดที่เห็นว่าไม่ควรจ่ายเงินให้บริษัทตามหนังสือจากกระทรวงมหาดไทยลงวันที่ 17 ธค. 2552 ที่ว่า" เมื่อคดีสู่ศาล ให้ระงับการจ่ายเงินไว้ก่อน" แต่ ปปช.กลับมาฟ้องนายนิพนธ์ว่าทำผิดกฎหมาย  จึงเป็นความย้อนแย้งที่สะท้อนให้เห็นว่า  ในขบวนการตรวจสอบทุจริตของไทยมีปัญหาและต้องหาบรรทัดฐานให้ผู้ปฏิบัติงาน โดย ปปช.ควรร่วมตอบคำถามด้วยว่า


   1.เรื่องรถยนต์ราคาแพงกว่า อบจ.อื่นอย่าง อบจ.ตรังซึ่งมีนายกิจ หลีกภัย เป็นนายก อบจ.ซื้อได้ในราคาที่ถูกกว่า หน่วยงานไหนควรจะตรวจสอบ นายนิพนธ์ไปหาข้อมูลมา ควรได้รับการชมเชยว่าทำงานรอบครอบหรือเจตนากลั่นแกล้ง


     2.ในทางปฏิบัติการไม่เซ็นสั่งจ่ายเงิน รัฐยังไม่เกิดความเสียหายใช่ไหม


      3.ถ้าจ่ายเงินนี้ไป ต่อมาบริษัทคู่สัญญาทำผิดกฎหมายตั้งแต่ต้น สัญญานี้เป็น "โมฆียะ" ซึ่งเป็นสัญญาที่บอกล้างได้ แต่เมื่อบริษัทรับเงินไปแล้ว รัฐเสียหายใช่ไหม ใครจะรับผิดชอบว่ารัฐได้รับเงินคืนเท่าที่เสียไป โดยเฉพาะนายนิพนธ์ถ้ารู้ทั้งรู้ว่าบริษัทนี้ปลอมแปลงเอกสารแล้วยังจ่ายเงิน นายนิพนธ์จะถูกฟ้องว่าร่วมโกงได้ใช่ไหม  จากสถานการณ์ที่นายนิพนธ์อยู่ระหว่างเขาควาย  สุจริตชนคิดทบทวนดูว่า ถ้าท่านเป็นนายนิพนธ์จะตัดสินใจอย่างไร


      4.ขบวนการย้อนแย้งนี้ ถึงเวลาต้องทบทวนได้แล้วหรือยัง เพราะผู้ปฏิบัติต้องการหลักยึดที่เป็นแนวทางในการปฏิบัติ เพราะการทำงานโปร่งใสโดยไร้แนวทางและกฎเกณฑ์นั้น เป็นไปไมได้เลย และจะเกิดขบวนการกินตามน้ำที่ดูแต่เอกสาร โดยไม่ดูข้อเท็จจริงเพราะกลัวคำตัดสินหรือการร้องเรียน ปปช.


         จากประเด็นข้างต้น ผู้เขียนอยากให้ผู้รู้ ผู้อ่านได้ร่วมกันคิด ว่าสังคมไทยเราจะเดินไปข้างหน้าได้อย่างไร ภายใต้กฏกติกาที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ ไม่อยู่ในอำนาจสลัวๆเป็นเงาบิดเบือนข้อเท็จจริงแบบศรีธนญชัยและเกิดอำนาจที่มองไม่เห็นหากินกับกระบวนการยุติธรรมไทยไม่สิ้นสุด
.......
ดร ประยูร อัครบวร
13 กค.2565
*บทความนี้ไม่เกี่ยวกับการที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะอภิปราย แต่ผู้เขียนในฐานะคนไทยคนหนึ่งที่เห็นว่า "กรณีนายนิพนธ์นี้เป็นกรณีที่ต้องนำมาศึกษาอย่างยิ่ง และสังคมต้องจับตาดู"