"นฤมล" ชี้ไทยขาดดุลแฝด 8 เดือน ต้องระวังใกล้ชิด ควรหลีกเลี่ยงกู้เงินนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในพรบ.

ไทยขาดดุลแฝด 8 เดือน

"นฤมล" ชี้ไทยขาดดุลแฝด 8 เดือน ต้องระวังใกล้ชิด ควรหลีกเลี่ยงกู้เงินนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในพรบ.





ad1

22 ต.ค. 2565 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ชี้ไทยอยู่ในสภาวะ "ขาดทุนแฝดมาร่วม 8 เดือน " เป็นการขาดดุลทั้งการคลังและดุลบัญชีเดินสะพัดในเวลาเดียวกัน  ต้องระวังใกล้ชิด โดยระบุข้อมูลในรายละเอียดดังนี้ว่า 

ขาดดุลแฝดร่วมแปดเดือน
เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ได้เคยบอกไว้ให้ติดตามและเฝ้าระวัง ภาวะ”ขาดดุลแฝด” คือ การขาดดุลการคลังและการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในขณะเดียวกัน
ไทยยังใช้นโยบายขาดดุลการคลัง พรบ งบประมาณ 2566 กำหนดวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ 695,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3.88% ของ GDP ส่วนตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัด ตั้งแต่มกราคมถึงสิงหาคม 2565 มีเดือนมีนาคมเพียงเดือนเดียวที่เกินดุล เดือนอื่นที่เหลือขาดดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่อง เมื่อเจาะดูดุลบัญชีเดินสะพัดรายเดือน พบสิ่งที่น่าสนใจว่า
-ตั้งแต่มกราคม 2564 ถึงสิงหาคม 2565 ไทยขาดดุลบริการมาตลอดทุกเดือน ซึ่งสาเหตุหลักเกิดจากรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่น้อยลงเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19
-แต่ห้วงเวลาเดียวกัน ไทยยังเกินดุลการค้าทุกเดือนจนถึงมิถุนายน 2565 จนมาสองเดือนหลัง คือ เดือนกรกฎาคมและสิงหาคม 2565 ที่เริ่มเกิดการขาดดุลการค้า นั่นคือ มูลค่าจากการนำเข้าสินค้ามากว่ามูลค่าจากการส่งออกสินค้า ซึ่งหลักๆ เป็นผลมาจากการนำเข้าน้ำมันและก๊าซปิโตรเลียมมากกว่าการส่งออก และค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงมาอย่างต่อเนื่อง
จึงเรียกได้ว่า ไทยเกิดภาวะขาดดุลแฝดต่อเนื่องมาหลายเดือน และภาพรวมทั้งปี 2565 สภาพัฒน์ฯ ประเมินไว้ว่าดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มขาดดุล 7,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 266,000 ล้านบาท คิดเป็น 1.5% ของ GDP แต่ข้อมูลจาก ธปท นับถึง สิงหาคม 2565 ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลสะสมไปแล้วถึง 1,275,165 ล้านบาท มากกว่าที่สภาพัฒน์คาดไปแล้วเกือบ 5 เท่า
การขาดดุลแฝด ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะที่ไทย แต่เกิดขึ้นในหลายประเทศเช่นกัน เพราะภาวะการคลังติดลบเกือบหมด รัฐบาลต่างจำเป็นต้องอาศัยการกู้เป็นเครื่องจักรหลักในการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และยังมาเจอขาดดุลการค้าจากการนำเข้าน้ำมันประกอบกับสกุลเงินที่อ่อนค่าลงอย่างมากเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม การปล่อยให้อยู่ในภาวะขาดดุลแฝดนานไปย่อมไม่เป็นผลดี จำเป็นต้องเฝ้าระวังใกล้ชิด และปรับนโยบายทางเศรษฐกิจเพื่อลดการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ด้วยแนวทางลดการขาดดุลบริการ ตามที่รัฐบาลส่งเสริมภาคการท่องเที่ยว เปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพื่อเพิ่มรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติให้มากขึ้น ส่วนแนวทางลดการขาดดุลการค้า เราควรต้องทบทวนและเอาจริงเอาจังกับแผนความมั่นคงทางพลังงานเพื่อลดสัดส่วนการพึ่งพิงการนำเข้าสินค้ากลุ่มพลังงาน
ในขณะเดียวกัน นโยบายทางการคลังจากนี้ไปต้องรัดกุม หลีกเลี่ยงการกู้เงินนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ใน พรบ งบประมาณ ยิ่งแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ภาระดอกเบี้ยจ่ายที่ต้องตั้งงบประมาณรองรับในอนาคตก็สูงตาม จึงควรพิจารณาทางเลือกแหล่งเงินทุนอื่นเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เช่น การร่วมทุนกับภาคเอกชน หรือ การระดมทุนด้วยกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน