ดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนชาวภาคใต้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนชาวภาคใต้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง





ad1

สงขลา-"ผศ.ดร.วิวัฒน์"ผู้จัดการศูนย์วิจัยนวัตกรรมทางธุรกิจ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ เผยดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนชาวภาคใต้ เพิ่มขึ้นต่อเนื่องรับอานิสงส์ โครงการเราเที่ยวด้วยกัน เริ่มทำอาชีพตามปกติได้มากขึ้น

ผศ.ดร.วิวัฒน์ จันทร์กิ่งทอง ผู้จัดการศูนย์วิจัยนวัตกรรมทางธุรกิจ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ รายงานผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนในภาคใต้ ด้านเศรษฐกิจและสังคม เดือนเมษายน 2565 (41.30) ปรับตัวเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับเดือนมีนาคม 2565 (40.80) และเดือนกุมภาพันธ์ (41.10) 

โดยดัชนีที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นภาวะเศรษฐกิจโดยรวม รายได้จากการทำงาน รายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าอุปโภคและบริโภค รายจ่ายด้านการท่องเที่ยว ความสุขในการดำเนินชีวิต ฐานะการเงิน (รายได้หักรายจ่าย) ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินและการแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 

ปัจจัยบวกที่สำคัญคือประชาชนส่วนหนึ่งได้ใช้จ่ายเงินในการเดินทางท่องเที่ยวและเดินทางกลับภูมิลำเนา รวมถึงการเลี้ยงสังสรรค์ช่วงวันหยุดยาวในเทศกาลวันสงกรานต์ ตั้งแต่วันที่ 13-17 เมษายน มีการพักค้างคืนตามสถานที่พักแรมจำนวนมาก 

“ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ส่วนลดคือโครงการเราเที่ยวด้วยกันส่งผลให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น”  

นอกจากนี้ในช่วงเดือนเมษายน ประชาชนส่วนหนึ่งเริ่มคลายความกังวลจากการแพร่ระบาดโควิด-19  และที่ทำอาชีพค้าขายเริ่มประกอบอาชีพได้อย่างปกติมากขึ้น ส่งผลให้มีรายได้จากการประกอบอาชีพเพิ่มขึ้น 

ในปีนี้การเดินทางท่องเที่ยวของคนไทยช่วงวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ฟื้นตัวจากปีที่ผ่านมา แต่การฟื้นตัวยังไม่ทั่วถึง ทั้งนี้เพราะศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ยังต้องเฝ้าระวังการระบาดของโควิด -19 จึงผ่อนคลายให้สามารถจัดกิจกรรมประเพณีสงกรานต์ได้เพียงบางส่วน แต่ห้ามเล่นน้ำ ประแป้ง หรือปาร์ตี้โฟม เป็นต้น อีกทั้ง ราคาอาหารและสินค้าแพงขึ้นมาก ประกอบกับประชาชนในประเทศมีกำลังซื้อที่ลดลง และนักท่องเที่ยวต่างชาติก็ยังมีจำนวนไม่มาก 

ทำให้การใช้จ่ายโดยภาพรวมเพื่อการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์เฉลี่ยต่อทริปลดลงค่อนข้างมาก เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีก่อนมีการแพร่ระบาดของโควิด-19

จากการสัมภาษณ์ประชาชนภาคใต้ในหลายสาขาอาชีพ เพื่อรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้น แนวทางการแก้ไข และความคิดเห็นต่อมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐ รวมถึงข้อเสนอแนะต่าง ๆ มีดังนี้ 

1. ประชาชนที่มีรายได้น้อยถึงปานกลางมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น จากราคาเชื้อเพลิงที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น กระทบถึงต้นทุนที่สูงขึ้นของสินค้าอุปโภคบริโภคต้องปรับราคาสูงขึ้นตามต้นทุน ซึ่งส่วนใหญ่ยังคงมีรายได้เท่าเดิมหรือลดลง จึงเสนอแนะให้ภาครัฐออกมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง เพื่อลดภาระค่าครองชีพที่สูงขึ้นมากในขณะนี้ 

2. ส่วนหนึ่งมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 ที่ผู้ติดเชื้อยังคงมีจำนวนหลักหมื่นคนอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งเดือนเมษายน ส่งผลให้อัตราผู้ติดเชื้อเสี่ยงสูงที่จะเสียชีวิตมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นหลักร้อยคน ซึ่งยอดผู้เสียชีวิตควรลดน้อยลงจากมาตรการป้องกันตนเอง และฉีดวัคซีนไวรัสโควิด-19 

จึงเสนอแนะให้ภาครัฐหาวิธีลดอัตราผู้เสียชีวิตจากผู้ติดเชื้อโควิด-19 ให้ต่ำกว่าหลักร้อย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ 

3. เกษตรกรมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับต้นทุนปัจจัยการผลิตภาคเกษตรและปศุสัตว์ที่เพิ่มสูงขึ้นมาก ได้แก่ ราคาปุ๋ย อาหารสัตว์ และสารเคมีทางการเกษตร เป็นต้น ถึงแม้ว่าราคาผลผลิตการเกษตรช่วงนี้จะมีราคาสูงขึ้น แต่เกษตรกรก็มีต้นทุนค่าใช้จายในการผลิตเพิ่มขึ้นมากเช่นกัน 

จึงเสนอแนะให้ภาครัฐหามาตรการช่วยเหลือเกี่ยวกับต้นทุนปัจจัยการผลิตภาคเกษตรและปศุสัตว์ เพื่อลดภาระให้แก่เกษตรกร 

ผลคาดการณ์ในอีก 3 เดือนข้างหน้า พบว่าประชาชนส่วนใหญ่เชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวมและรายได้จากการทำงานจะเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 38.60 และ 32.80 ตามลำดับ 

ส่วนความเชื่อมั่นต่อรายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในครัวเรือน และรายจ่ายด้านการท่องเที่ยวในอีก 3 เดือนข้างหน้าจะเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 35.60 และ 39.60 ตามลำดับ 

ส่วนความเชื่อมั่นด้านความสุขในการดำเนินชีวิตการแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และการแก้ปัญหาเศรษฐกิจในอีก 3 เดือนข้างหน้า จะเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 34.10 30.30 และ 34.20 ตามลำดับ 

และปัจจัยที่ประชาชนส่วนใหญ่มองว่ามีผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบันมากที่สุด คือค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นคิดเป็นร้อยละ 41.60 รองลงมา คือภาระหนี้สินของประชาชนและการแพร่ระบาดของ โควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน คิดเป็นร้อยละ 24.70 และ 19.20 ตามลำดับ 

ขณะที่ปัญหาเร่งด่วนที่ประชาชนส่วนใหญ่มองว่ารัฐบาลควรรีบดำเนินการและให้ความช่วยเหลือ อันดับแรกคือการแก้ปัญหาค่าครองชีพสูง รองลงมาคือการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย การแก้ปัญหาหนี้สินของประชาชน รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวตามลำดับ.