อดีตนายทหารจี้หน่วยงานเกี่ยวข้องเร่งทบทวนขอคำตอบหลังยุบศูนย์ปฏิบัติธรรม ขับไล่พระลงจากเขาถ้ำวัวแดง

อดีตนายทหารจี้หน่วยงานเกี่ยวข้องเร่งทบทวนขอคำตอบหลังยุบศูนย์ปฏิบัติธรรม ขับไล่พระลงจากเขาถ้ำวัวแดง





ad1

ชัยภูมิ –อดีตนายทหารนำเอกสารแถลงผ่านสื่อฯ วอนหน่วยงานเกี่ยวข้องเร่งทบทวนขอคำตอบหลังยุบศูนย์ปฏิบัติธรรม ขับไล่พระลงจากเขาถ้ำวัวแดงผ่านมานานนับปียังไม่คำตอบที่ชัดเจน

( 19 ม.ค.66 ) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้า หลังเกิดกรณีที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ ได้มีคำสั่งให้พระที่เกี่ยวข้องในศูนย์ปฏิบัติธรรมบนเขาถ้ำวัวแดง อำเภอภักดีชุมพล ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าตะเบาะ-ห้วยใหญ่ จังหวัดเพชรบูรณ์และจังหวัดชัยภูมิ ทั้งหมดขนสิ่งของในศูนย์ปฏิบัติธรรมทั้งหมดออกจากพื้นที่มาตั้งแต่วันที่ 12 ก.พ.65 ที่ผ่านมา

เพื่อที่จะเข้าเคลียร์พื้นที่ดังกล่าวและเตรียมเปิดเป็นพื้นที่กึ่งแหล่งสถานที่ท่องเที่ยวให้คนสามารถเข้ามาท่องเที่ยวชมบนเขาถ้ำวัวแดง ซึ่งประชาชนในพื้นที่ชาวเมืองชัยภูมิหลายพื้นที่จากแทบทุกอำเภอทั่วสารทิศทั้งเด็กนักเรียนตามสถานศึกษาต่างๆที่เคยมาปฏิบัติธรรมที่นี่ นับหลายร้อยคนต่างพากันสุดช้ำใจหนักยากที่จะทำใจได้ถึงกับหลั่งน้ำตา ระหว่างพากันเดินทางมาให้กำลังใจพระอาจารย์พินทุ นักพัฒนาชื่อดังและต้องเร่งขนสิ่งของและพาพระทั้งหมดออกจากพื้นที่ทั้งหมดภายในวันนี้(12 ก.พ.65) ที่ผ่านมาแล้ว จนกินเวลาผ่านมานานนับปีจนปัจจุบันขณะนี้วัดต้องถูกปล่อยทิ้งร้างเพราะพระเณรไม่สมารถขึ้นไปใช้สถานที่ศาลาการเปรียญ และกุฏิให้พระกว่า 20 รูปพักจำพรรษาได้

และล่าสุดด้าน ร.ต.ฉัตรชัย  ขำสว่าง อดีตเจ้าหน้าที่หน่วย กรมน.สวนลื่น(ด้านปราบปรามการกรกะทำผิดป่าไม้) (โทร.0612912991) ได้ขอเปิดแถลงต่อสื่อมวลชนในพื้นที่ จ.ชัยภูมิ เพื่อขอความเป็นธรรมให้พระอาจารย์พินทุ พระนักพัฒนาชื่อดัง ผ่านไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในครั้งนี้เป็นการด่วนด้วย ซึ่งในจุดศูนย์ปฏิบัติธรรมที่มีการเปิดให้พระอาจารย์พินทุ พระนักพัฒนาดังในครั้งนี้ที่ได้เขามาช่วยดูแลรักษาป่าในเขตรักษาพันธุ์ฯและมีการดำเนินการร่วม MOU ร่วมบันทึกข้อตกลงกับหน่วยงานป่าไม้ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ทั้งหมดเพื่อเปิดเป็นศูนย์ช่วยส่งเสริมให้เด็กเยาวชนได้เข้ามาปฏิบัติธรรมทางพระพุทธศาสนา ตามแนวทางชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์อันดีงามที่มีคุณภาพให้กับบ้านเมืองมาตลอดมานานกว่า 14 ปี ที่ผ่านมา บนเขาถ้ำวัวแดง และไม่เฉพาะชาวจังหวัดชัยภูมิและเป็นศูนย์ปฏิบัติธรรมให้เป็นรากฐานให้กับเยาวชนเด็กไทยในทั่วประเทศได้มาบ่มเพาะจิตใจตามหลักศาสนาพุทธอันดีงามมาต่อเนื่องที่ดีอยู่แล้วมาได้จนปัจจุบันนี้

ซึ่งมีหลักฐานการตั้งเป็นวัดและศูนย์ปฏิบัติธรรมบนเขาถ้ำวัวแดงมายาวนานตั้งแต่ปี 2526 ก่อนที่จะมีการเข้ามาประกาศเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าตะเบาะ-ห้วยใหญ่มาทีหลังในปี 2540และการดำเนินการของเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องในขณะนี้ ที่หลังมีการเข้ามาตรวจสอบว่ามีการร้องเรียนว่าพระตัดไม้ในพื้นที่ที่ก็ยังไม่มีความชัดเจนทางคดีมีความคาดเคลื่อนต่อกรณีตัดไม้ในพื้นที่ภาพข้อมูลที่ออกไปของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ก็ยังไม่ตรงกับข้อเท็จจริง หรือมีคำสั่งสอบสวนว่าพระที่เกี่ยวข้องมีความผิดเลย แต่ก็มีการเร่งรีบเข้ามาดำเนินการขับไล่พระลงจากเขาถ้ำวัวแดงจนปัจจุบันเวลาผ่านมาก็นานกว่า 1 ปี แล้วจนวัดร้างหมดแล้วพระเณรต้องเร่ร่อนไปอยู่ที่อื่นชั่วคราวจนขณะนี้ ที่เวลาผ่านมาก็ตั้งแต่เดือน ม.ค.2565 ที่ผ่านมา ก็ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้

ซึ่งน่าจะมีเบื้องหลังกลุ่มทุนใหญ่ที่อยากเข้ามาแสวงหาประโยชน์เพื่อต้องการขับไล่พระลงจากเขาเพื่อเปิดให้พื้นที่บนศูนย์ปฏิบัติธรรมถ้ำวัวแดง เป็นแหล่งท่องเที่ยวและหน่วยงานเจ้าของพื้นที่จะได้มีรายได้ให้กับแต่ละฝ่ายของตัวเอง ในการเปิดรับนักท่องเที่ยวในครั้งด้วย จึงอยากฝากวิงวอนไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ ได้เร่งให้ความชัดเจนในเรื่องนี้ที่เกิดขึ้นให้ชัดเจนโดยเร็วด้วย เพราะจะปล่อยให้วัดทิ้งร่างต่อจากนี้ไปต่อมานานนับปีแล้ว แต่ยังไม่มีความชัดเจนต่อไปอีกอย่างนี้ได้อีกแล้ว ที่ชาวพุทธทุกคนจะขอออกมาปกป้องพระพุทธศาสนาในครั้งนี้ด้วย

ซึ่งตนเองก็เคยเป็นเจ้าหน้าที่ปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับป่าไม้มานานจนเกษียณชีวิตราชการแล้วในปัจจุบัน แต่พอได้มาลงพื้นที่ตรวจสอบต่อกรณีปัญหาดังกล่าวที่เกิดขึ้นในพื้นที่บนถ้ำวัวแดง ก็พบว่ามีความไม่ชัดเจนจำนวนมากที่ต้องไล่พระลงจากเข้าปล่อยให้วัดทิ้งร้างครั้งนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว และต้องการให้กำลังใจ พระอาจารย์พินทุ  มหาปัญโญ พระนักพัฒนาชื่อดังของจังหวัดชัยภูมิ ในฐานะประธานที่พักสงฆ์ถ้ำวัวแดง วัดถ้ำวัวแดง ต.บ้านเจียง อ.ภักดีชุมพล จ.ชัยภูมิ 

หลังได้มาตรวจสอบลงพื้นที่มาต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมาแล้ว ทั้งกรณีที่มีการอ้างว่ามีการร้องเรียนว่ามีการกระทำการผิดเงื่อนไข หรือมีการตัดไม้อะไรต่างๆนั้น เป็นสิ่งที่ต้องใช้หลักเหตุและผลที่แท้จริง ว่ามีอะไรที่อยู่เบื้องหลังในการที่ต้องการให้พระอาจารย์พินทุ ซึ่งเป็นพระนักพัฒนาที่ดีๆ แบบนี้ออกจากพื้นที่ครั้งนี้

รวมทั้งการดำเนินการที่ผ่านมาของคณะพระสงฆ์ในจุดนี้ทั้งการให้เด็กเยาวชนชาวบ้าน ที่เข้ามาศูนย์ปฏิบัติธรรม ได้ช่วยกันดูแลรักษาดูแลป่าช่วยกัน ทั้งปัญหาไฟป่า ที่มีการร่วมใจกันของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ ทั้งมีการจัดชุดเยาวชนจิตอาสาการออกมาร่วมแรงร่วมใจกันของเด็กเยาวชน ชาวบ้านในพื้นที่ต่างๆ ที่เข้ามาช่วยกันดูแลรักษาป่าป้องกันไฟป่าช่วยต่อท่อน้ำตามระบบประปาภูเขาบนเขาไว้ช่วยดับไฟป่าเพื่อป้องกับผืนป่าไม่ให้ได้รับความเสียหายมาได้ต่อเนื่องทุกปีมายาวนานกว่า 14 ปี ที่ผ่านมา ทั้งปัญหาการขาดแคลนน้ำใช้ยามหน้าแล้ง ที่การอยู่ที่บนเขาก็มีการเข้ามาช่วยกันทำประปาภูเขาเก็บน้ำไว้ให้ชาวบ้านที่นี่ไว้ได้ใช้ยามหน้าแล้งได้อีกด้วย

และการที่จะเข้ามาที่อ้างว่าเพราะต้องจัดระเบียบเพื่อการส่งเสริมการท่องเที่ยวในรูปแบบต่างๆจากนี้ไป การเปิดเป็นศูนย์ปฏิบัติและวัดดังกล่าว ก็สามารถเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเส้นทางธรรมในจุดนี้ก็ดีอยู่แล้ว และในการจะขับไล่พระยุบวัดศูนย์ปฏิบัติธรรมเปิดให้บุคคลทั่วไปสามารถเข้าพื้นที่มาท่องเที่ยวได้นั้น และในส่วนของศูนย์ปฏิบัติธรรมที่เคยมีอยู่เดิมต้องหายไป ที่ชาวบ้านในพื้นที่จำนวนมากเคยเข้ามาใช้เป็นจุดศูนย์บ่มเพาะกล่อมเกลาจิตใจให้กับประชาชน เด็กเยาวชนอนาคตของชาติได้หลุดพ้น ได้เกิดการสร้างความรัก ความสามัคคีอันดีงาม รวมใจที่มีการดำเนินการด้านการเข้ามาช่วยส่งเสริมพระพุทธศาสนา ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ในจุดนี้ต้องมาหายไปด้วยนั้น น่าจะเป็นการได้ไม่คุ้มเสีย และพระดีจะหายไปจากนี้ด้วยนั้น จึงอยากให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องรวมไปถึงระบกรมที่เกี่ยวข้องทางอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เร่งให้ความชัดเจนในครั้งนี้โดยเร็วด้วย

ด้าน พระอาจารย์พินทุ กล่าวว่า ในขณะนี้กรณีที่เกิดขึ้นผ่านมานานนับปี ก็เริ่มเกิดผลกระทบทางจิตใจชาวพุทธ และพระสงฆ์ที่อยู่ในพื้นที่กว่า 20 รูป ที่โดนผลักดันให้ลงจากพื้นที่ถ้ำวัวแดง ซึ่งมาจนวันนี้ทางคณะสงฆ์ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่ากระทำผิดอย่างไร ว่าผิดกฎหมายตัวไหนมาตราไหน ที่เคยนำมาใช้ให้พระสงฆ์อยู่ได้ หรือการถูกผลักดันออกจากพื้นที่ ที่ขณะนี้ได้มีญาติโยมชาวพุทธเข้ามาช่วยตรวจสอบและมีหลักฐานความชัดเจนในพื้นที่ว่าบนถ้ำวัวแดงมีการได้รับอนุญาตให้กั้นพื้นที่ไว้ตั้งวัดได้มาตั้งแต่ปี 2545 และทางเจ้าหน้าที่ไม่มีการเข้ามาดำเนินตามหน้าที่สำรวจความชัดเจนและมีรายงานให้บุคคลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบเลยที่ผ่านมา 

รวมทั้งทางคณะสงฆ์ในพื้นที่ทั้งหมดก็ยังไม่มีการถูกสั่งลงโทษจากพระอธิกรณ์ว่ามีความผิดใดๆเลย จึงอยากฝากผ่านไปถึงทางผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ และทางหน่วยงานสูงสุดกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช และหลายๆฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้สำรวจพิสูจน์ความชัดเจนต่อกรณีที่เกิดขึ้น และให้ข้อเท็จจริงทั้งหมดได้ตัดสินว่าพระจะอยู่ต่อได้ไหม หรืออยู่ต่อไม่ได้ เพราะอะไร และให้ประชาชนชาวพุทธทุกคนได้รับทราบว่าข้อเท็จจริงทั้งหมดที่ชัดเจนก็พร้อมน้อมรับทุกฝ่ายให้เสร็จสิ้นโดยเร็วต่อไปจากนี้ด้วย เพราะเวลาก็ผ่านมานานจนวัดต้องถูกทิ้งร้าง พระเณรต้องเร่ร่อนไปหาอาศัยที่อยู่ชั่วคราว ก็ยังต้องรอคำตอบอยู่ในครั้งนี้ด้วย