"รทสช."จี้ออกกม.คุ้มครองเด็กถูกผู้ใหญ่ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อประโยชน์ทางการเมือง

"รทสช."จี้ออกกม.คุ้มครองเด็กถูกผู้ใหญ่ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อประโยชน์ทางการเมือง





ad1

“ทนายบอน – ณัฐนันท์ กัลป์ยาศิริ” อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.พรรครวมไทยสร้างชาติ ชี้ไทยควรมีกฎหมายคุ้มครองเด็กจากการถูกนักการเมืองผู้ใหญ่ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อประโยชน์ทางการเมือง สร้างคะแนนนิยมให้ตัวเองแต่เด็กเสียอนาคต

เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.2566 นายณัฐนันท์ กัลยาศิริ หรือ ทนายบอน อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม. พรรครวมไทยสร้างชาติ(รทสช.) โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/bon.nattanan แสดงความคิดเห็นเชิงกฎหมายประเด็นร้อนเกี่ยวกับเยาวชน และ การเมือง โดยระบุว่า ประเทศไทยควรมีกฎหมายห้ามพรรคการเมือง นักการเมือง บุคลากรของพรรคการเมืองหรือบุคคลใด ใช้ประโยชน์จากเด็กและเยาวชนเพื่อแสวงหาประโยชน์ทางการเมือง โดยในการโพสต์ข้อความดังกล่าว ทนายบอนได้ตั้งคำถามและเสนอแนะประเด็นเชิงกฎหมาย มีเนื้อหาระบุว่า

“กฎหมายคุ้มครองเด็กจากการแสวงหาประโยชน์ทางการเมือง และทลายรังผู้ใหญ่เลวปั่นหัวเด็ก ถึงเวลาต้องมีแล้วหรือยัง

1.กฎหมายคุ้มครองเด็กจากการแสวงหาประโยชน์ทางการเมือง

ทุกวันนี้มีการหลอกใช้เด็กเป็นเครื่องมือทางการเมือง สนองตัณหานักการเมืองเลว ผู้ใหญ่เลว จนเด็กที่กำลังจะมีอนาคต ต้องถูกดำเนินคดีจำนวนมาก โดยผู้อยู่เบื้องหลังปลอดภัย ถึงเวลาที่เราควรมีกฎหมายห้ามพรรคการเมือง นักการเมือง บุคคลากรของพรรคการเมือง หรือบุคคลอื่นใด ใช้ประโยชน์จากเด็ก เพื่อแสวงหาประโยชน์ทางการเมืองของตนเอง แล้วหรือยัง

ตัวอย่างล่าสุด มีพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง โหนเด็กที่โดนดำเนินคดีตามมาตรา 112 อ้างว่า เป็นผู้ต้องหาที่เด็กที่สุด ที่โดนรังแก ตีหน้าเศร้า เรียกคะแนนนิยมให้ตัวเอง ทั้ง ๆ ที่การปลูกฝังความคิดเกิดขึ้นจากพวกพ้องรอบข้างตัวเอง ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ทั้งนั้น

การเปิดโอกาสให้แสวงหาประโยชน์จากเด็ก เท่ากับเปิดโอกาสให้ยุยงปลุกปั่นเด็กให้เป็นเหยื่อ และนำกลับมาแสวงหาประโยชน์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่างที่เห็นอยู่ นักการเมืองได้ประโยชน์ ส่วนเด็กเสียอนาคต ถึงเวลามีกฎหมายนี้หรือยัง

2. กฎหมายทลายรังผู้ใหญ่เลวปั่นหัวเด็ก

ถ้านึกถึงกฎหมาย "ยาเสพติด" ที่เปิดโอกาสให้ศาลลดโทษให้ถ้าผู้ขายรายเล็กซัดทอดรายใหญ่ และมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์นำไปสู่การจับกุมได้ ส่งเสริมการ "ทลายรัง" ยาเสพติด

กลับมาที่เรื่องนี้ ถ้ามีกฎหมายเปิดโอกาสให้เด็กรับสารภาพ และให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ว่า ถูกปลุกปั่นยุยงจากผู้ใหญ่เลวคนไหน ให้มาทำผิดกฎหมายบ้านเมือง เพื่อเปิดโอกาสให้กันเด็กไว้เป็นพยาน ลดโทษให้ หรือนิรโทษกรรมให้จากความรู้เท่าไม่ถึงการ นำไปสู่การแก้ไขพฤติกรรม กลับมามีอนาคตที่สดใส สำหรับผู้ใหญ่เลวที่ปั่นหัวเด็กนั้น ทำให้เด็กเสียอนาคต หลอกใช้เด็กจากความรู้เท่าไม่ถึงการ ทำลายไปถึงครอบครัวเด็ก เลวยิ่งกว่าทำผิดเอง ผมคิดว่าควรระวางอัตราโทษ 2 เท่าของความผิดนั้น เอาให้สาสม น่าจะเหมาะ

โพสต์นี้เป็นแนวความคิดส่วนตัวของผม ที่ไม่สามารถทนเห็นเด็กถูกใช้เป็นเครื่องมือ และต้องเสียอนาคตไปทีละคน ทีละคน ได้อีกต่อไป

ขอแรงพ่อแม่พี่น้องช่วยชี้แนะและระดมสมองกันครับ”

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านั้น นายณัฐนันท์ ได้โพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นเชิงการเมืองในประเด็นเดียวกัน หลังมีการถกเถียงเรื่องการยกเลิก “ชุดนักเรียน” อีกครั้งโดยเห็นว่า ทุกคนสามารถเห็นต่างได้ แต่ควรใช้วิธีการที่ถูกต้องในการเรียกร้อง ตามขั้นตอนเพื่อไปสู่การแก้ไขอย่างเหมาะสม โดยมุ่งเรื่องประโยชน์ต่อตัวนักเรียนเป็นหลัก โดยระบุว่า ชุดนักเรียนมีประโชน์หลายอย่าง ทั้งฝึกให้เด็กอยู่ในระเบียบวินัย สังคมให้ความสำคัญดูแลนักเรียนเป็นพิเศษ จึงเป็นประโยชน์เรื่องความปลอดภัย และยังป้องกันการมั่วสุมในจุดต่าง ๆ ชุดนักเรียนจึงเป็นเหมือนเกราะคุ้มครองนักเรียน

“ปัญหาคือ ทุกวันนี้มี “ขบวนการหลอกใช้เด็ก” สร้างค่านิยมผิดๆ ให้สังคม สร้างพฤติกรรมเลียนแบบในทางที่ผิดให้กับเด็ก ด้วยการเสี้ยมสอน และส่งเสริมให้เด็กใช้เสรีภาพผิดวิธี เด็กคนไหนที่มีพฤติกรรมต่อต้านสังคม โดยใช้วิธีการที่รุนแรง โดยไม่เคารพกฎระเบียบของบ้านเมือง ผูกขาดทางความคิด ไม่รู้จักรับฟังความเห็นต่าง จะถูกยกย่องส่งเสริมและให้ความสำคัญเป็นพิเศษ จนกระทั่งเด็กเข้าใจผิดว่าตนเองเป็น “ฮีโร่” ทั้งที่ความจริงกำลังตกเป็นเครื่องมือของผู้ใหญ่เลว ที่ต้องการทำลายคุณค่าที่ดีของสังคม ... และในท้ายที่สุดก็อาจส่งผลเสียต่อเด็กในระยะยาว เรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้ ผมคิดว่าอย่าไปประณามเด็กเลยครับ เด็กคือผ้าขาวที่บริสุทธิ์แล้วแต่ผู้ใหญ่จะเอาอะไรสาดเข้าไป ผู้ใหญ่ต้องอดทนและช่วยกันชักจูงเด็กให้กลับมาในทางที่ถูกที่ควร ... ก่อนจะสายเกินไป 

ถ้าจะประณามใครในเรื่องนี้ ต้องประณาม “ไอ้พวกผู้ใหญ่เลว” ที่หลอกใช้เด็กเป็นเครื่องมือดีกว่าครับ” นายณัฐนันท์ระบุ ตอนหนึ่งในโพสต์ดังกล่าว