อาจารย์นิด้า ยก 6 ปม ชี้คดีหุ้นไอทีวีจบแล้ว มั่นใจ ‘พิธา’ รอด คาด กกต.ยุติ ม.151

อาจารย์นิด้า ยก 6 ปม ชี้คดีหุ้นไอทีวีจบแล้ว มั่นใจ ‘พิธา’ รอด คาด กกต.ยุติ ม.151





ad1

เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.2566 นายพิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ผู้อำนวยการหลักสูตรการเมืองและยุทธศาสตร์การพัฒนา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์เฟซบุ๊กกรณีการถือครองหุ้นไอทีวีของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ระบุข้อความว่า คดีหุ้น itv จบแล้ว 1.นายพิธา เป็นผู้จัดการมรดก หุ้น itv เป็นของกองมรดก ไม่ใช่ของนายพิธา แม้ว่านายพิธาเป็นหนึ่งในทายาท แต่ตราบใดที่ยังไม่ได้แบ่งมรดกส่วนนี้ให้ใคร ก็หมายความว่ายังไม่มีทายาทคนใดเป็นเจ้าของหุ้นนี้ ดังนั้น ที่ผ่านมาจะถือว่านายพิธาครอบครองหุ้นไม่ได้ (ปัจจุบันหุ้นส่วนนี้ได้โอนให้ทายาทคนอื่นไปแล้ว)

2.แม้อาจมีใครที่ตีความว่า นายพิธา ถือหุ้นสื่อ และส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญก็อาจยกคำร้องด้วยเหตุผลในข้อ 1 แต่ถ้ารับคำร้อง นายพิธาก็ยังคงมีโอกาสรอดสูง เพราะบรรทัดฐานของคดีปกครองและคดีรัฐธรรมนูญตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา มีความสอดคล้องกัน ดังนี้

“การที่จะพิจารณาว่า บุคคลใดเป็นหรือเคยเป็นกรรมการหรือผู้ถือหุ้น ในบริษัทที่ประกอบธุรกิจด้านกิจการกระจายเสียงหรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาตรวจสอบตามข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ปรากฏว่า บริษัทได้ประกอบกิจการจริงหรือไม่ มิใช่พิจารณาเพียงวัตถุประสงค์ของบริษัทเท่านั้น” นายพิชาย ระบุ

นายพิชาย ระบุต่อว่า ศาลรัฐธรรมนูญในเดือน ต.ค. 2563 ก็พิพากษากรณีถือหุ้นสื่อของน.ส.ภาดาท์ วรกานนท์ ส.ส.กทม. เขต 6 พรรคพลังประชารัฐ ตามแนวนี้ และในคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 963/2565 (ประชุมใหญ่) ระบุชัดว่า การพิจารณาวัตถุประสงค์ของบริษัทตามที่ระบุไว้ในหนังสือบริคณห์สนธิแต่เพียงอย่างเดียว แล้วมีมติว่า บริษัทดังกล่าวได้ประกอบกิจการโทรคมนาคม โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานอื่นใดที่แสดงให้เห็นว่า บริษัทดังกล่าวได้ประกอบกิจการโทรคมนาคม กรณีจึงเป็นการใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย (เพจบรรทัดฐานคดีปกครองและคดีรัฐธรรมนูญ 7 มิ.ย. 2566)

3.ล่าสุดในเดือน พ.ค. 2566 กรณีถือหุ้นสื่อของนายชาญชัย ผู้สมัคร ส.ส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ ศาลฎีกาก็ใช้แนวทางนี้ และยังได้นำเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญมาร่วมวินิจฉัยด้วย นั่นคือหากถือหุ้นในสัดส่วนน้อย จะไม่สามารถครอบงำสื่อได้ จึงคืนสิทธิการสมัคร ส.ส. แก่นายชาญชัย

4.ด้วยข้อเท็จจริงเหล่านี้ จึงทำให้ขบวนการสกัดนายพิธา พยายามที่จะรื้อฟื้นความเป็นสื่อแก่ itv โดยหวังว่าจะเพิ่มน้ำหนักแก่ข้อกล่าวหา แต่ก็ถูกเปิดโปงเสียก่อน จนทำให้หลักฐานที่พยายามสร้างเพื่อแสดงความเป็นสื่อของ itv สูญสิ้นความน่าเชื่อถืออย่างสิ้นเชิง

5.และถึงแม้ว่าจะรื้อฟื้นความเป็นสื่อได้ ก็ยังต้องเจอกับคำตัดสินล่าสุดของศาลฎีกาที่ยึดเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ เพราะหุ้นที่อ้างว่านายพิธาถือครองนั้นมีสัดส่วนเพียงประมาณ 0.0035% เท่านั้น ซึ่งไม่สามารถมีอิทธิพลใดๆ ต่อ การครอบงำไอทีวีแต่อย่างใด

6.สรุปนายพิธาก็จะรอด เพราะ 1) นายพิธาเป็นผู้จัดการมรดก ไม่ได้ครอบครองหุ้น ตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ 2) ตามข้อเท็จจริง ไอทีวีก็ไม่ถือว่าเป็นสื่อแล้วตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา 3) สัดส่วนหุ้นที่ก็น้อยมาก ซึ่งไม่สามารถครอบงำได้
คดีหุ้นสื่อ ไอทีวีจึงจบลงด้วยประการฉะนี้

“คาดว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คงจะยุติการดำเนินการตามมาตรา 151 ในไม่ช้า และคาดว่าคงไม่มีใครกล้าเสี่ยงเอาเรื่องนี้ไปยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญอีก ไม่ว่าจะเป็น กกต. หรือ ส.ส. เพราะหากยื่นอาจเข้าข่ายการใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และหากนำเอกสารที่พยายามรื้อฟื้นความเป็นสื่อให้แก่ไอทีวียื่นเป็นหลักฐานต่อศาล อาจจะต้องเผชิญความเสี่ยงต่อการถูกฟ้องกลับตามมาตรา 143 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และดีไม่ดีต้องจบชีวิตในคุก ส่วนคนที่ใช้กฎหมายอาญา มาตรา 157 เพื่อขู่ให้ กกต. ยื่นเรื่องก็รอดตัวไป เพราะได้โยนเผือกร้อนไปให้ กกต. ไปแล้ว” นายพิชาย ระบุ