นายกฯโชว์วิชั่นดันประเทศไทยสู่เศรษฐกิจสีเขียว

นายกฯโชว์วิชั่นดันประเทศไทยสู่เศรษฐกิจสีเขียว





ad1

นายกฯ แสดงวิสัยทัศน์การขับเคลื่อนสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ESG ผลักดันประเทศไทยสู่ความยั่งยืน รัฐบาลออกมาตรการทางการเงินกว่า 450,000 ล้านบาท ลงทุนเศรษฐกิจสีเขียว -Thailand Green Taxonomy ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนเพื่อความยั่งยืน

เมื่อวันที่ 5 ต.ค. 66 เวลา 15.00 น. ณ ห้อง Plenary Hall ชั้น 1 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ถนนรัชดาภิเษก เขตคลองเตย กรุงเทพฯ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เข้าร่วมรับฟังความคิดเห็น “ร่วม เร่ง เปลี่ยนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ” และแสดงวิสัยทัศน์การขับเคลื่อนสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ESG (Environmental, Social and Governance) เพื่อผลักดันประเทศไทยสู่ความยั่งยืน ในงาน ESG Symposium 2023 ภายใต้งาน Sustainability Expo 2023 โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เอกอัครราชทูตสวิตเซอร์แลนด์ประจำประเทศไทย คณะกรรมการบริษัทและผู้บริหารบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปลัดกระทรวงมหาดไทย ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หน่วยงานภาครัฐ ผู้บริหารภาคเอกชน ภาคประชาสังคม สถาบันการศึกษา เยาวชน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมนิทรรศการเกี่ยวกับการจัดงาน ณ บริเวณ ESG Landmark หน้าห้อง Plenary Hall ได้แก่ 1) “สระบุรีแซนบ็อกซ์” ต้นแบบเมืองคาร์บอนต่ำครบวงจรของไทย 2) แบตเตอร์รี่กักเก็บพลังงานสะอาด และ 3) โครงการพัฒนาคลองเปรมประชากร พรอมกันนี้ ได้รับฟังข้อคิดเห็น “ร่วม เร่ง เปลี่ยนประเทศไทย สู่สังคมคาร์บอนต่ำ” โดยนายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี

จากนั้น นายกรัฐมนตรีแสดงวิสัยทัศน์การขับเคลื่อน ESG เพื่อผลักดันประเทศไทยสู่ความยั่งยืน โดยกล่าวรู้สึกประทับใจมาก ที่ได้เห็นคนไทยทุกภาคส่วน ทั้งภาคเอกชน ภาครัฐ ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม ร่วมกันหาแนวทางทำให้ประเทศไทยเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ ซึ่งภาวะโลกเดือด (Boiling World) ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของทุกชีวิตบนโลก สภาพอากาศสุดขั้วส่งผลต่อสุขภาพ ภัยแล้งรุนแรงมากขึ้น อาหารขาดแคลน ซึ่งนำไปสู่ปัญหาเศรษฐกิจตั้งแต่ระดับครัวเรือนจนถึงระดับมหภาค อย่างไรก็ตามเชื่อมั่นว่า หากทุกฝ่ายร่วมมือกันตามกลยุทธ์ ESG ที่เน้นสร้างเศรษฐกิจ ควบคู่กับสมดุลทางสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างโปร่งใส มุ่งสู่เป้าหมาย Sustainable Development Goals (SDGs) ของสหประชาชาติ เราช่วยกันจะกู้โลกให้กลับมาดีขึ้นได้

นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการได้ร่วมประชุมระดับผู้นำว่าด้วยเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนประจำปี ค.ศ. 2023 (Sustainable Development Goals (SDG) Summit 2023) เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยสหประชาชาติได้กำหนดให้เป็นทศวรรษแห่งการลงมือทำ (Decade of Action) ซึ่งประเทศไทยสนับสนุนกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศให้มีความเข้มแข็ง โดยเฉพาะความร่วมมือในการจัดสรรแหล่งทรัพยากรและเงินทุน ซึ่งจะช่วยให้ทุกประเทศรับมือกับความท้าทาย และร่วมกันขับเคลื่อน SDGs เป็นรูปธรรม

โดยรัฐบาลได้ออกมาตรการทางการเงินกว่า 450,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนในเศรษฐกิจสีเขียว และ Thailand Green Taxonomy เพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนเพื่อความยั่งยืน ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากภาคธุรกิจไทย โดย Global Compact Network Thailand กว่า 100 บริษัททั่วประเทศ พร้อมขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และตั้งเป้าลงทุน 1.6 ล้านล้านบาท ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ SDGs ภายในปี พ.ศ.2573

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนว่า ต้องมีแนวทางที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนผ่านที่ชัดเจน โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งประเทศไทยได้มีแนวทาง ได้แก่ 1) มุ่งมั่นการพัฒนาที่ยั่งยืนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ผ่านหลักการไปให้ถึงและช่วยเหลือกลุ่มที่รากหญ้า 2) ส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมทางเพศ สำหรับประชากรทุกคนในประเทศ และให้ความสำคัญกับสิทธิด้านสุขภาพ และ 3) ผลักดันความร่วมมือทุกระดับ เพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงส่งเสริมการเข้าถึงบริการพลังงานสะอาด ในราคาที่เหมาะสมและมีความน่าเชื่อถือภายในปี ค.ศ 2030 พร้อมย้ำให้ทุกคนมั่นใจว่า วันนี้ประเทศไทยพร้อมเดินหน้าแก้วิกฤตสิ่งแวดล้อม โดยรัฐบาลบรรจุอยู่ในนโยบาย และมีแผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ (Nationally Determined Contribution : NDC) เพื่อให้ทุกภาคส่วนดำเนินงานอย่างบูรณาการร่วมกัน

สำหรับข้อเสนอการบูรณาการ ร่วมเปลี่ยนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ที่คุณธรรมศักดิ์ได้เป็นผู้แทนเสนอมานั้น นายกรัฐมนตรีชื่นชมความตั้งใจที่จะทำโมเดลสระบุรีแซนด์บ็อกซ์ ซึ่งได้เลือกโจทย์ที่ยากพอสมควร เพราะสระบุรีเป็นจังหวัดที่มีโรงงานอุตสาหกรรมใหญ่อยู่มาก เช่น โรงงานปูน เป็นต้น ทั้งนี้การดำเนินการลดก๊าซเรือนกระจก ต้องอาศัยความร่วมมือทั้งจากเอกชนรายใหญ่และประชาชน ดำเนินมาตรการต่างๆ มากมาย และต้องใช้เงินทุน พร้อมชื่นชม SCG ที่ Step up มาผลักดันเรื่องนี้ และขอเชิญชวนบริษัทใหญ่อื่น ๆ มาร่วมกันเป็นพลังเสริมด้วย ทั้งนี้ ขอให้ทำให้สำเร็จ จะได้เป็นตัวอย่างให้เมืองอื่น ๆ และภาคอุตสาหกรรมอื่น ๆ ในประเทศได้

สำหรับการผลักดันเศรษฐกิจหมุนเวียนให้เป็นวาระแห่งชาติ ได้กล่าวชื่นชมทั้ง 3 อุตสาหกรรมนำร่องระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อขยายผลความสำเร็จนี้ ซึ่งรัฐบาลจะให้ความสำคัญกับการกำหนดนโยบายจัดการขยะและเปิดให้จัดหาสินค้ากรีน เพื่อสร้าง eco-system ที่เอื้อต่อระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน เป็นต้น รวมถึงการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด ถือเป็นการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน เพื่อรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในอนาคต และช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตแบบคาร์บอนต่ำ อีกทั้งรัฐบาลจะให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานสะอาดให้เต็มประสิทธิภาพ และศึกษาการเปิดให้สามารถซื้อ-ขายไฟฟ้าจาก Renewable Source ได้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นจุดแข็งของประเทศไทยในการดึงดูดนักลงทุน และบริษัทต่างชาติในอนาคต

นายกรัฐมนตรีย้ำที่สำคัญมากคือการเปลี่ยนสู่สังคมคาร์บอนต่ำ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง (Leave no one behind)  ต้องยอมรับว่ายังมีประชาชนอีกมาก โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็ก เกษตรกร และชุมชน ที่ยังไม่ตระหนักถึงวิกฤตนี้ หรือยังไม่พบทางออกเพื่อรับมือ  ดังนั้นควรสนับสนุนการเข้าถึงความรู้ เทคโนโลยี และการเข้าถึงเงินทุน แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากการสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ให้สามารถปรับตัวอยู่รอดได้ ทั้งนี้ ขอฝากให้ธุรกิจขนาดใหญ่เป็นพี่เลี้ยงผู้ประกอบการขนาดเล็กและชุมชน รวมทั้งผนึกกำลังกับภาคส่วนต่าง ๆ อย่างในวันนี้  โดยข้อเสนอต่าง ๆ ดังกล่าว นายกรัฐมนตรีจะมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป

ในตอนท้ายนายกรัฐมนตรีขอบคุณทีมผู้จัดงาน และทุกภาคส่วนที่ได้ร่วมกันจัดงานนี้ขึ้น ซึ่งได้ช่วยสร้างความตระหนักรู้ และสร้างเครือข่ายความร่วมมือ ที่จะผลักดันให้เกิดความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม

“เราทุกคนมุ่งหวังการเปลี่ยนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ลดผลกระทบจากสภาวะอากาศแปรปรวนขั้นวิกฤต รวมทั้งสร้างเศรษฐกิจที่เจริญเติบโต คุณภาพชีวิตดี การท่องเที่ยวคึกคัก เกษตรกรรายได้ดี ลดความเหลื่อมล้ำ ยกระดับคุณภาพชีวิตพี่น้องคนไทย ผมมั่นใจว่าเป็นจริงได้แน่นอน หากทุกภาคส่วนมาร่วมบูรณาการ โดยเห็นประโยชน์ของประเทศและของโลกเป็นสำคัญ” นายกรัฐมนตรี กล่าว