รวบแก๊งคอลเซ็นเตอร์สวมรอยเป็นหลานอาม่าตุ๋นยืมเงินกว่า 1 ล้านบาท

รวบแก๊งคอลเซ็นเตอร์สวมรอยเป็นหลานอาม่าตุ๋นยืมเงินกว่า 1 ล้านบาท





ad1

กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) และเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ได้ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาจำนวน 5 ราย ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงแสดงตนเป็นบุคคลอื่น และโดยทุจริตหรือหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ ที่มิได้กระทำต่อประชาชน แต่เป็นการกระทำต่อบุคคลหนึ่ง และยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝาก โดยมิได้มีเจตนาใช้เพื่อตนหรือเพื่อกิจการที่ตนเกี่ยวข้อง ทั้งนี้โดยประการที่รู้หรือควรรู้ว่าจะนำไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด”

1. นางสมพรฯ อายุ ๕๗ ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลนครราชสีมา จ.367/2566 ลงวันที่ 10 ต.ค.66 จับกุมได้ที่ ม.9 ต.ท่าข้าม อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว
2. นายวิทวัสฯ อายุ ๒๑ ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลนครราชสีมา จ.365/2566 ลงวันที่ 10 ต.ค.66 จับกุมได้ที่ ซอยเสกสรร ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี
3. นายพรรษพลฯ อายุ 2๗ ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลนครราชสีมา จ.363/2566 ลงวันที่ 10 ต.ค.66 จับกุมได้ที่ ม.3 ต.ศิลา อ.เมืองขอนแก่น จ.ขอนแก่น
4. นายสุนทรวัฒน์ฯ อายุ ๓1 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลนครราชสีมา จ.364/2566 ลงวันที่ 10 ต.ค.66 จับกุมได้ที่ หมู่ 21 ต.บ้านเป็ด อ.เมืองขอนแก่น จ.ขอนแก่น
5. น.ส.อรสาฯ อายุ ๔๖ ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลนครราชสีมา จ.366/2566 ลงวันที่ 10 ต.ค.66 จับกุมได้ที่ บริเวณริมถนน ต.ด่าน อ.กาบเชิง จังหวัดสุรินทร์

พฤติการณ์ สืบเนื่องมาจากเมื่อประมาณต้นเดือน ก.ค.66 ได้มีแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรศัพท์ติดต่อมายังหญิงสูงวัยอายุ 73 ปี ทำทีเป็นพูดคุยว่ารู้จักกับผู้เสียหาย โดยมีการใช้คำพูดว่า “อาม่า จำได้ไหม” ซึ่งทำให้  ผู้เสียหายหลงเชื่อคิดว่าเป็นหลานของตนเอง จึงเอ่ยชื่อหลานของตนเองออกไป หลังจากนั้นคนร้ายจึงได้สวมรอยเป็นหลานของผู้เสียหาย และขอยืมเงินจากผู้เสียหาย โดยอ้างว่าต้องการนำเงินใช้หนี้จากการทำธุรกิจจำนวน       1 ล้านบาท ซึ่งภายหลังจากพูดคุยกันผ่านทางโทรศัพท์ คนร้ายได้ให้ผู้เสียหายแชทคุยผ่านทางแอปพลิเคชันไลน์ และให้ทำการโอนเงินให้คนร้ายทั้งหมด 6 ครั้ง รวมเป็นเงิน 1,312,000 บาท

ภายหลังจากที่คนร้ายได้เงินจำนวนดังกล่าวไปแล้ว คนร้ายได้มีการหลอกขอยืมเงินผู้เสียหายเพิ่มอีก แต่เนื่องจากผู้เสียหายได้โอนเงินไปให้หมดแล้ว จึงปฏิเสธและบอกให้คนร้ายที่อ้างตัวเป็นหลานติดต่อไปขอยืมเงินจากอากง หรือปู่ ซึ่งภายหลังเมื่อคนร้ายติดต่อไปหาอากง ทางอากงจำได้ว่าเสียงดังกล่าวไม่ใช่เสียงของหลานตนเอง จึงเชื่อว่าถูกหลอก จึงได้พาผู้เสียหายเข้าเเจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.โพธิ์กลาง จ.นครราชสีมา

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กก.๒ บก.ป. จึงได้ทำการสืบสวนจนทราบตัวกลุ่ม  ผู้กระทำผิด โดยจากการเฝ้าติดตามพบว่าคนร้ายบางส่วนก่อเหตุอยู่บริเวณตะเข็บชายแดนของประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงยังมีการใช้บัญชีม้าในการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินที่ได้จากการประทุษร้าย เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องหาและผู้ร่วมขบวนการ

โดย เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบทราบว่า น.ส.อรสาฯ ผู้ต้องหาที่ ๕ ซึ่งปกติจะซ่อนตัวอยู่ที่ประเทศกัมพูชา จะเดินทางกลับเข้ามาในราชอาณาจักรไทย เจ้าหน้าที่จึงได้วางกำลังและทำการจับกุมตัว น.ส.อรสาฯ ที่บริเวณด่านช่องจอม จ.สุรินทร์ และต่อมาในวันนี้ ( 18 ต.ค.66) เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำกำลังลงพื้นที่ตรวจค้นบ้านพักและจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับเพิ่มอีก 4 ราย ซึ่งทั้งหมดเป็นเจ้าของบัญชีม้าที่ใช้รับโอนเงิน หลังจากนั้นจึงนำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สภ.โพธิ์กลาง ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป


 
สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น น.ส.อรสาฯ ให้การว่าได้ขายบัญชีธนาคารของตนให้กับชาย สัญชาติกัมพูชา ที่รู้จักที่คาสิโนแห่งหนึ่ง ในประเทศกัมพูชา โดยได้นำค่าจ้างจากการขายบัญชีไปเล่นการพนัน ในส่วนของผู้ต้องหารายอื่นๆ ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา