“สุวัจน์” ชมรัฐบาลแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี ย้ำแจกเงินหมื่นช่วงเสียงไว้ต้องทำให้ได้

“สุวัจน์” ชมรัฐบาลแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี ย้ำแจกเงินหมื่นช่วงเสียงไว้ต้องทำให้ได้





ad1

นครราชสีมา-“สุวัจน์” ชมรัฐบาลแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี แนะ นายกฯ ใช้ประสบการณ์ธุรกิจ-ความได้เปรียบ ผลักดันบริหารงาน ชง ปี 67 รัฐบาลต้องหารายได้ให้ประเทศ-ปชช. ย้ำ ดิจิทัลลวอลเล็ตหาเสียงไว้แล้ว ก็ต้องทำ

 นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า(ชพก.) เปิดเผได้ให้สัมภาษณ์เมื่อวานนี้ (29 ธันวาคม 2566) เกี่ยวกับผลการทำงานของรัฐบาลในช่วง 3 เดือน และประเมินผลการทำงาน ว่า “รัฐบาลพยายามทำงานในสิ่งที่สัญญากับประชาชนไว้ตอนเลือกตั้ง โดยเฉพาะปัญหาเฉพาะหน้า เช่น เศรษฐกิจระยะสั้น การตรึงราคาค่าไฟ ค่าน้ำมัน หนี้นอกและในระบบ เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพของประชาชนให้ได้ ซึ่งตนมองว่า รัฐบาลทำได้ดี แต่สำหรับปีหน้า คงต้องโฟกัสเรื่องของรายได้ประเทศและรายได้ประชาชน รัฐบาลไปเชิญชวนการลงทุนไว้มาก แต่เราจะได้เงินได้งานเพิ่มขึ้นมาจากการลงทุนที่ไปเชิญชวนอย่างไร หรือการส่งออกที่ติดลบ ปีหน้าจะหาตลาดเพื่อการส่งออก นำรายได้เข้าประเทศอย่างไร หรือการท่องเที่ยวปีนี้ มีนักท่องเที่ยว 27 ล้านคน ปีหน้าทำอย่างไรให้ได้ 40 ล้านคน ถ้าทำได้เราก็กลับมาอยู่จุดเดิมก่อนเกิดโควิด-19 ระบาด”

นายสุวัจน์ฯ กล่าวอีกว่า “นอกจากนี้ ยังควรทำอะไรที่ถาวรให้กับประเทศ เช่น การปรับโครงสร้างต่างๆ ได้แก่ พลังงาน ตอนนี้รัฐบาลแก้ปัญหาค่าไฟเฉพาะหน้า แต่ถ้าปรับโครงสร้างทั้งการผลิตและการใช้พลังงานหมุนเวียน การหาแหล่งก๊าซเป็นของตัวเอง จะเป็นเรื่องที่ถาวรและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน รวมถึง การปรับโครงสร้างภาคการเกษตร  อุตสาหกรรมรถยนต์ที่กำลังเปลี่ยนเป็นรถยนต์ไฟฟ้า และโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น EEC แลนด์บริดจ์ รถไฟฟ้าความเร็วสูง มอเตอร์เวย์ จะต่อยอดอย่างไร แต่รัฐบาลต้องระวังเรื่องตัวเลขหนี้สาธารณะในขณะนี้ 62%  แม้ยังไม่ทราบว่า โครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะเกิดขึ้นเมื่อไร แต่ถ้าเกิดขึ้นก็อาจจะทำให้ตัวเลขหนี้สาธารณะสูงขึ้นถึง 65-66% หนี้ภาคประชาชนตอนนี้กว่า 90% รัฐบาลต้องระมัดระวังและสร้างเสถียรภาพทางการคลังเพื่อให้เกิดความมั่นใจ หากนโยบายการผลักดันนโยบายการหารายได้ชัดเจน จีดีพีก็จะโต หนี้ต่างๆ จะลดลง ตลาดหุ้นก็จะกลับมาคึกคัก

 ส่วนนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต เป็นส่วนหนึ่งของการกระตุ้นเศรษฐกิจ และน่าจะเพิ่มจีดีพีได้อีกประมาณครึ่งเปอร์เซ็นต์ ปีหน้าจีดีพี อาจจะอยู่ที่ประมาณ 3% แต่ถ้ามีนโยบายนี้ ก็อาจจะเพิ่มเป็น 3.5% แต่ขอย้ำว่า สิ่งที่ต้องควบคุมหนี้สาธารณะตอนนี้ 5 แสนล้านบาท หากมีการกู้เงินเพิ่มอีกก็จะทำให้สูงกว่า 62% แม้ไม่เกิน 70% แต่นักลงทุนและนักวิเคราะห์ก็จะมอง ดังนั้น รัฐบาลต้องหามาตรการหารายได้เพิ่มให้กับประเทศในระยะยาวควบคู่กันไป การท่องเที่ยวดีขึ้น การส่งออกดีขึ้น การปรับโครงสร้างต่างๆ เพื่อให้บาลานซ์ตัวเลขที่ทำให้เกิดความมั่นใจเสถียรภาพการคลังของประเทศ แต่ก็มองว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยเงินถึง 5 แสนล้านบาท ย่อมมีความรุนแรงที่ทำให้เศรษฐกิจกระเตื้องขึ้นได้ และถ้าติดเรื่องข้อกฎหมาย คิดว่า รัฐบาลต้องมีมาตรการสำรองที่เทียบเคียงได้กับดิจิทัลวอลเล็ต

 “ดิจิทัลวอลเล็ต” บอกประชาชนไว้ก็ต้องทำ และก็เป็นนโยบายของรัฐบาล เพียงแต่ต้องมีความรอบคอบในเรื่องของความถูกต้องของขั้นตอนต่างๆ คือ การตีความทางกฎหมายของกฤษฎีกา แต่โดยภาพรวมก็มีผลดีต่อระบบเศรษฐกิจ เพียงแต่ว่าระมัดระวังที่มาและหนี้สาธารณะที่เกิดขึ้น ให้อยู่ในเกณฑ์ที่ยังมีเสถียรภาพในด้านการคลังอยู่” 

 นอกจากนี้ นายสุวัจน์ฯ ได้ให้คำแนะนำแก่นายกรัฐมนตรี ว่า “เวลาไม่รอท่า ตอนนี้นายกรัฐมนตรีต้องโฟกัสในการหารายได้  ใช้ประสบการณ์ในทางธุรกิจ ความได้เปรียบและเสถียรภาพทางการเมือง ผลักดันให้งานเรียบร้อย เพราะปีหน้าจะเป็นปีที่ท้าทายในเรื่องเศรษฐกิจ อย่างไรก็ ตามปัจจัยต่างๆ ก็เป็นใจ เพราะส่งออกปีนี้ติดลบ แต่ปีหน้าเศรษฐกิจโลกจะดีขึ้น ดอกเบี้ยขาลง  เงินเฟ้อลดลง ดังนั้น เศรษฐกิจไทยโดยพื้นฐาน ย่อมจะต้องดีขึ้น ตัวเลขการส่งออกที่ติดลบปีหน้าก็ต้องเป็นบวก นักท่องเที่ยวก็ต้องเพิ่มขึ้น และถ้ามีการลงทุนเพิ่มก็จะยิ่งขับเคลื่อนจีดีพี หนี้ต่างๆ จะเบาลง”

ส่วนเรื่องการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีของพรรคแกนนำ  นายสุวัจน์ฯ กล่าวว่า  “น่าจะยังไม่มีอะไร เพราะ สว. ยังอยู่ ดังนั้น การเปลี่ยนตัวจึงไม่ใช่เรื่องง่าย อะไรยากๆ คงไม่ทำในช่วงนี้ และไม่ใช่การเปลี่ยนผ่านที่ราบรื่น” นายสุวัจน์ฯ กล่าว .

โดย...ประสิทธิ์ ตั้งประเสริฐ/ นครราชสีมา