"ดร.ประยูร" ชี้ เลือก ดร. ชัชชาติ เพื่อพัฒนา กทม ให้เป็นมหานครชั้นนำของโลก

"ดร.ประยูร" ชี้ เลือก ดร. ชัชชาติ เพื่อพัฒนา กทม เป็นมหานครชั้นนำโลก

"ดร.ประยูร" ชี้ เลือก ดร. ชัชชาติ เพื่อพัฒนา กทม ให้เป็นมหานครชั้นนำของโลก





ad1

19 พ.ค. 2565  ดร.ประยูร อัครบวร นักเคลื่อนไหวทางการเมืองและอดีตผู้นำนักศึกษา และอดีตอาจารย์คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้เขียนบทความต่อความเคลื่อนไหวสถานการณ์เลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ในครั้งนี้ว่า

เลือก ดร. ชัชชาติ เพื่อพัฒนา กทม ให้เป็นมหานครชั้นนำของโลก

       เหตุการณ์ พฤกษภาทมิฬปี 2535 มาถึงปีนี้ก็ครบ 30 ปี ซึ่งคนไทยถ้ายังจำกันได้ มีการประท้วงรัฐบาล มีภาพการใช้ความรุนแรงกับประชาชน เมื่อเป็นข่าวที่บานปลายออกไปสู่ต่างประเทศ คนไทยในมหานครชิคาโกได้รวมตัวกันไปชุมนุมที่หน้าสถานกงสุลไทย เพื่อเรียกร้องให้เกิดการแก้ไขปัญหาอย่างสันติ เพื่อไม่ให้เสียภาพลักษณ์ของประเทศ และที่นี่ผมได้พบกับพี่สามารถ ศรีจำนง อจ.มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ซึ่งเป็นนักเรียนทุนรัฐบาล กับนักเรียนทุนเล่าเรียนหลวงชื่อชัชชาติ สิทธิพันธ์ ซึ่งผมรู้สึกทึ่งมาก เพราะโดยปกตินักเรียนทุนจะระวังการแสดงออกทางการเมืองและส่วนใหญ่จะไม่มาร่วมชุมนุม  ดร.ชัชชาติบุคลิกตอนนั้นกับเดี่ยวนี้ก็ไม่ต่างกัน ดูนิ่ง จริงจัง ไม่อวดตัว เมื่อพิจารณาได้จากตอนนั้นถึงตอนนี้ ดร.ชัชชาติเป็น นักเรียนเกียรตินิยมเหรียญทองจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ จบปริญญาโทจาก MIT (Massachusetts Institute of Technology) สถาบันด้านเทคโนโลยีชั้นนำของโลก แต่มาเรียนปริญญาเอกที่ University of Illinois ที่เมือง Urbana- Champaign ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่คนเข้าใจระบบการศึกษาอเมริกาจะรู้ว่าสาขาวิศวโยธาที่นี่เป็นอันดับหนึ่งของอเมริกา และมีคนไทยสร้างขื่อไว้อย่าง ดร.ธวัชชัย นาคะตะ มีชื่อจารึกในหอเกียรติยศ(Hall of Frame) และ ดร.ชัชชาติเป็นคนที่สองที่ได้รับเกียรตินี้  จบการศึกษาแล้วทำงานในมหานครชิคาโกอีก 2 ปีเงินเดือนเท่าไรลองคำนวนเอาเองในเมื่อคนเรียนจบ.ปริญญาตรีด้านวิศวะเงินเดือนระหว่าง  50,000-80,000 $ต่อปี  แต่ ดร.ชัชชาติจบ ปริญญาเอก ผมประเมินว่าไม่ต่ำกว่า 100,000 $ ต่อปี (คิดเป็นเงินไทยประมาณ 3 ล้านบาทต่อปี) แต่ด้วยสำนึกในบุญคุณแผ่นดิน มารับเงินเดือน 10,900 บาท (ภรรยาผมจบปริญญาเอกมารับราขการในปี พ.ศ.2543 ก็รับเงินเดือนเท่านี้) ที่พูดเช่นนี้นักเรียนทุนเล่าเรียนหลวงเป็นทุนที่เปิดโอกาศทำงานที่ไหนก็ได้ไม่ต้องใช้ทุนคืน ซึ่งท่านที่อ่านบทความนี้ ลองคิดดูว่า คนที่ไม่รักบ้านเกิดเมืองนอน คนไม่มีสำนึกตอบแทนสังคมจะทำอย่างนี้หรือ


     แน่นอน ความเป็นคนเก่งไม่ใช่คำตอบสำหรับความเป็นคนดี มีสำนึกทางสังคม  มาพบกันอีกครั้งที่ประเทศออสเตรเลีย ผมเข้าไปทักทาย พบว่า ดร.ชัชชาติยังคงความอ่อนน้อมถ่อมตนและจริงใจกับปัญหาบ้านเมือง เมื่อผมคิดว่าเมืองไทยควรมีกลุ่มแจ้งเตือนสังคม(Whistleblower)ก่อนเกิดความเสียหาย ไม่ว่ารัฐลงทุนในสิ่งที่ไม่ควรทำเพื่อป้องกันการคอร์รัปชั่น ดร. ชัชชาติตอบผมว่า "พี่จะทำเมื่อไหร่ บอกผมด้วย" และที่นี่ผมได้เห็นความเป็นคนรักครอบครัว(Family Man) ดร.ชัชชาติเพราะได้หาทุนวิจัยเพื่อพาลูกที่พิการ เป็นโรคหูดับสนิทต้องผ่าตัดฝังชิบ แต่นั่นแหละครับ ผมเองมีภาระด้านอื่นๆเลยไม่ได้ติดต่อไป จนกระทั่งเห็นข่าวว่า ดร.ชัชชาติเป็น รมต.ซึ่งผมยังคิดว่าคุณยิ่งลักษณ์ ฉลาดที่รู้จักตั้งเทคโนเครตเก่งอย่าง ดร .ชัชชาติ มาช่วยบริหารด้านคมนาคมแต่อาจเป็นกรรมของ ดร.ชัชชาติ ที่ลาออกจากพรรคเพื่อไทยมาแล้วยังถูกป้ายสี ว่าเป็นทาสระบบทักษิณ แต่ไม่เคยตั้งคำถามเลยว่า ถ้าชัชชาติไม่ดีจริงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จะเชิญเข้าเป็นกรรมการยุทธศาสตร์ชาติหรือ (หาดูจากยูทูปข้างล่างบทความนี้หรือที่ https:www.matichon.co.th/politics/news 682354) และสำหรับคนที่มีใจยุติธรรม ลองถามและตอบด้วยท่านเองว่ามันถูกต้องไหม ที่จะกระหน่ำ ดร.ชัชชาติ ว่าเป็นบันไดขั่นแรกที่ส่งอุ๊งอิ๊งลูกสาว ดร.ทักษิณเป็นนายกฯ มันเป็นเกมการเมืองที่สกปรกไหม


       เมื่อ ดร.ชัชชาติประกาศตัวลงสมัครผู้ว่า กทม.ในนามอิสระและได้แลกเปลี่ยนพูดคุยกัน ผมเชื่อมั่นว่าดร.ชัชชาคิมีความคิดดีๆเพื่อสังคมไทยและการลงเลือกตั้งนี้ลงอย่างอิสระเป็นตัวของตัวเอง และผมไม่เชื่อคำกล่าวหาที่ใช้วิชามารในทุกประเด็น ซึ่งวิญญูชน อิสระชนสามารถไตร่ตรองได้ว่า ดร.ชัชชาติประกาศเจตนารมย์ว่าสมัครผู้ว่าฯ กทม.มา 2 ปีแล้ว บรรดาคู่ต่อสู้ ปราดทางการเมืองเคยออกมาตรวจสอบไหม และผู้สมัครคนอื่นๆอยู่ตรงไหน ทำไมไม่ตรวจสอบตั้งแต่ต้น  พอมาถึงวันนี้ผลโพลล์ว่า ดร.ชัชชาติมาที่หนึ่ง เลยใช้วิชามาร รุมทึ้ง รุมปล่อยข่าวเท็จอย่างไร้ยางอาย ซึ่งพฤติกรรมอย่างนี้ ควรถูกประณามใช่ไหม 


         สำหรับผมอายุก็ย่าง 68 ปีแล้ว ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก็ไม่น้อยกว่าคนในวัยเดียวกัน ขอนำเสนอว่าให้ เลือก ดร.ชัชชาติเบอร์ 8 เพื่อพัฒนา กทม. ให้เป็นมหานครชั้นนำของโลก
      
........
ดร.ประยูร อัครบวร
17 พ.ค.2565