DSI ผนึกกำลังเข้าตรวจสอบ โฮมสเตย์อดีต สส.น่าน รุกป่า ลำน้ำชาวบ้านเดือดร้อนกว่า 160 หลังคาเรือน

DSI ผนึกกำลังเข้าตรวจสอบ   โฮมสเตย์อดีต สส.น่าน รุกป่า ลำน้ำชาวบ้านเดือดร้อนกว่า 160 หลังคาเรือน





ad1

น่าน -DSI ผนึกกำลังเข้าตรวจสอบ   โฮมสเตย์อดีต สส.น่าน รุกป่า ลำน้ำ สร้างความเดือดร้อนชาวบ้านกว่า 160 หลังคาเรือน ไม่สามารถสัญจรเข้าที่ทำกินได้

เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2565 เวลา 15.00 น. นายไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ มอบหมายให้ ร้อยตำรวจเอก ปิยะ รักสกุล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ บูรณาการร่วมกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐเขตพื้นที่ 5 (ปปท.เขต 5)สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดน่าน ฝ่ายปกครองอำเภอบ่อเกลือ สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 3 สาขาแพร่ สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 13 สำนักงานที่ดินจังหวัดน่าน เจ้าหน้าที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดน่าน (กอ.รมน.จว.น่าน) เจ้าหน้าที่สถานีตำรวจภูธรบ่อเกลือ สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขาแพร่  เข้าพื้นที่บ้านสว้าเหนือ หมู่ที่ 3 ตำบลดงพญา อำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน

หลังชาวบ้านในพื้นที่ร้องเรียนให้ตรวจสอบที่ วิวสว้า โฮมสเตย์  เนื่องเป็นผู้อิทธิพล อดีตนักการเมืองน่าน เข้าครอบครองพื้นที่  มีการปรับเปลี่ยนเส้นทางลำน้ำว้า ถมที่ดินริมน้ำ ขยายพื้นที่ทับลำน้ำว้า จนทำลายแหล่งพันธุ์ปลา ทำลายวิถีชีวิตดั้งเดิม  อีกทั้งยังหวงกันพื้นที่ริมน้ำไว้เป็นของตนเอง และยังปิดทางเดินสาธารณะเข้าออกหมู่บ้าน ทำให้ชาวบ้านใน 2 ตำบล คือ ตำบลสว้าเหนือ และตำบลสว้าใต้ กว่า 160 หลังคาเรือนได้รับความเดือดร้อนไม่สามารถใช้ประโยชน์ในลำน้ำว้าได้อย่างปกติ และสัญจรเข้าออกที่ดินทำกินซึ่งอยู่เหนือถัดไปได้ยากลำบาก

โดยจากการตรวจสอบพบว่า พื้นที่บริเวณดังกล่าวไม่มีเอกสารสิทธิ์   และพบมีการแบ่งพื้นที่ให้เช่าสร้างทำที่พักไว้รองรับนักท่องเที่ยวจำนวนหลายหลัง   มีการสร้างโรงเรือนที่พักส่วนตัว และที่พักคนงาน  มีการใช้แรงงานต่างด้าว  อีกทั้งยังทำการขนหินจากแม่น้ำขึ้นมาสร้างเนินดินออกไปจากพื้นที่เดิม รวมทั้งมีการเปลี่ยนแปลงเส้นทางน้ำ เพื่อประโยชน์แก่ตนเองและก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนผู้ใช้น้ำเพื่อการเกษตรกรรม และเจ้าของกิจการดังกล่าวมีพฤติกรรมเป็นผู้มีอิทธิพล เจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่ไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้ ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่จังหวัดน่าน

ทั้งนี้ขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบ นางสาวพูนสุข โลหะโชติ อดีต สส.น่าน 5 สมัย ได้เข้าปรากฎตัวพร้อมกับยืนยันว่าเป็นเจ้าของสถานที่ดังกล่าว และบริเวณโดยรอบ พร้อมกับยืนยันว่าได้ซื้อที่ดินทั้งหมดมาจากชาวบ้าน แต่ไม่ระบุว่ามีเอกสารสิทธิ์หรือไม่  อีกทั้งยังปฏิเสธว่ากระทำการรุกล้ำลำน้ำว้า โดยอ้างว่าทีสภาพลำน้ำเป็นลักษณะนึ้เกิดจากน้ำป่าที่ไหลหลากและซัดก้อนหินมาทับถม  ก่อนประกาศจะฟ้องกลับชาวบ้านที่มายื่นหนังสือร้องเรียน และใช้มือถือถ่ายภาพชาวบ้านทุกคนที่มาให้ข้อมูล จนชาวบ้านหลายรายเกรงกลัวอิทธิพล พากันเดินหลบออกไป

ด้านร้อยตำรวจเอก ปิยะ รักสกุล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ  กล่าวหลังตรวจสอบว่าชาวบ้านในพื้นที่และผู้ครอบครองพื้นที่เดิม ได้เข้าให้ข้อมูลประกอบพยานหลักฐานยืนยันแนวเขตว่ามีการล่วงล้ำลำน้ำ  ซึ่งการกระทำดังกล่าว  อาจเข้าข่ายเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2456 และยังพบว่าที่ดินบริเวณดังกล่าวไม่มีเอกสารสิทธิ์ จึงอาจจะเป็นพื้นที่ป่าตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 อีกด้วย ซึ่งหากผู้ใดบุกรุกอาจจะเป็นความผิดฐานบุกรุกป่า การก่อสร้างโรงเรือน และการประกอบกิจการโรงแรมไม่พบว่ามีการขออนุญาตตามกฎหมาย รวมไปถึงการนำแรงงานต่างด้าวเข้าทำงาน ซึ่งจะมีการตรวจสอบ และหากพบมีการกระทำผิด ไม่ว่าจะเป็นบุคคลใด ก็จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยทั้งหมดนี้คาดว่าไม่เกิน 3 เดือนจะดำเนินการแล้วเสร็จ และสามารถคืนสภาพลำน้ำว้าให้กลับสู่สภาพเดิม ชาวบ้านสามารถกลับมาใช้ประโยชน์ได้ตามปกติ

อย่างไรก็ตามหลังยื่นหนังสือร้องเรียน ชาวบ้านได้ร้องขอให้ช่วย โดยแจ้งว่าถูกเจ้าของโฮมสเตย์ขู่จะยิง  ซึ่ง พ.ต.อ.สมชาย กาวิเนตร ผกก.สภ.บ่อเกลือ ได้นำชาวบ้านทั้งหมดเข้าลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานที่สภ.บ่อเกลือ  พร้อมกับส่งชุดสายตรวจ เข้าตรวจตราความปลอดภัยในหมู่บ้าน  ทั้งนี้เพื่อความมั่นใจในความปลอดภัยให้แก่ชาวบ้าน