ทลายเครือข่ายยาเสพติด “บาก้า” ดัดแปลงรถบรรทุก ซุกซ่อนยาไอซ์มูลค่ากว่า 650 ล้านบาท

ทลายเครือข่ายยาเสพติด “บาก้า” ดัดแปลงรถบรรทุก ซุกซ่อนยาไอซ์มูลค่ากว่า 650 ล้านบาท





ad1

ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) พร้อมจนท.ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหา จำนวน 12 ราย

1. นายอนุรักษ์ หรือ แต๊ก อายุ 33 ปี 
2. นายหริพงษ์ หรือ อั้ม อายุ 30 ปี
3. นางสิริรัตน์ หรือ ฝน อายุ 27 ปี      
4. นายมานพ หรือ ดำ  อายุ 33 ปี
5. น.ส.ศิโรรัตน์ หรือ บีบี อายุ 22 ปี           
6. นายอนุชา หรือ กอล์ฟ อายุ 20 ปี 
7. นายอติกานต์ หรือ เต้ย อายุ 27 ปี 
8. นายฐานทัพ หรือ ราม  อายุ 19 ปี 
9. นายชัชนานนท์ หรือ แม๊ก อายุ 26 ปี
10. นายนันธวัฒน์ หรือ น้า อายุ 51 ปี
11. น.ส.ศิริพร หรือ จ๊ะเอ๋  อายุ 30 ปี 
12. น.ส.ขัญญาภัค หรือ แนน อายุ 28 ปี

ซึ่งต้องหาว่ากระทำผิดฐาน ผู้ต้องหาที่ 1-12 “ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือไอซ์) ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย”ผู้ต้องหาที่ 1 “มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว”
 สถานที่จับกุม บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 3.5 ต.ตลิ่งชัน อ.เมือง จ.สระบุรี

พฤติการณ์ ก่อนเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.ปคม. ได้ดำเนินการสืบสวนจับกุมขบวนการ  ลักลอบนำเเรงงานต่างด้าวเข้ามาประเทศโดยผิดกฎหมายในพื้นที่เขตรับผิดชอบ ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งเบาะเเสว่าจะมีการลำเลียงขนยาเสพติดล็อตใหญ่มาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือเข้าพื้นที่กรุงเทพฯ โดยอาศัยในช่วงวันหยุดยาวระหว่างวันที่ 4–6 พ.ค.2566 โดยจากข้อมูลตำหนิรูปพรรณรถยนต์และกลุ่มผู้ต้องสงสัย ทำให้ทราบว่าขบวนการดังกล่าวจะใช้รถยนต์เก๋ง ยี่ห้อ Honda รุ่น CRV สีขาว เป็นรถนำขบวนเพื่อดูลาดเลาล่วงหน้า ส่วนรถลำเลียงขนส่งยาเสพติดจะใช้รถยนต์บรรทุก 6 ล้อ และจะมีรถกระบะ ยี่ห้อ Chevrolet เป็นรถปิดท้ายขบวน เมื่อทราบข้อมูลเบาะเเสดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้นำเรียน ผู้บังคับบัญชาให้ทราบ และมีการสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเฝ้าระวังรถยนต์และกลุ่มผู้ต้องสงสัยดังกล่าว

กระทั่งเมื่อวันที่ 4 พ.ค.2566 เวลาประมาณ 06.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้พบรถยนต์ต้องสงสัยตามที่ได้รับเเจ้งทั้ง 3 คัน บนถนนหมายเลข 2 มุ่งหน้าสีคิ้ว จึงได้มีการประสานไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงให้วางกำลังสกัดจับรถทั้ง 3 คัน โดยเมื่อรถทั้ง 3 คัน ขับผ่านจุดสกัดของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เรียกให้หยุดรถ และทำการตรวจสอบรถทั้ง 3 คัน จากการตรวจสอบพบยาไอซ์จำนวน 650 กิโลกรัม ซุกซ่อนอยู่ภายในพื้นกระบะรถบรรทุก 6 ล้อ คันสีฟ้า ซึ่งรถคันดังกล่าวมีการดัดแปลงตัวรถเพื่อซุกซ่อนยาเสพติด นอกจากนี้ยังตรวจสอบพบอาวุธปืน Glock ขนาด 9 มม. จำนวน 1 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุนปืนขนาด 9 มม. จำนวน 15 นัด อยู่ภายในรถยนต์เก๋ง ยี่ห้อ Honda รุ่น CRV สีขาว ซึ่งนายแต๊ก (ผู้ต้องหาที่ 1) ยอมรับว่าอาวุธปืนเเละเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวเป็นของตน จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการจับกุมนายแต๊ก (ผู้ต้องหาที่ 1) พร้อมกับ ผู้ร่วมกระทำความผิดซึ่งโดยสารมาในรถยนต์ทั้ง 3 คัน จำนวนรวม 12 คน

จากการสอบถามผู้ต้องหาบางรายให้การยอมรับว่าตนเป็นลูกน้องของนายแต๊ก (ผู้ต้องหาที่ 1) โดย  ถูกนายเเต๊ก ซึ่งเป็นหัวหน้าขบวนการชักชวนให้มาขนยาเสพติด เพราะมีรายได้ดี อีกทั้งยังยอมรับว่าเคยขน      ยาเสพติดในลักษณะดังกล่าวมาแล้ว 2 ครั้ง ได้ค่าจ้างครั้งละ 20,000 บาท ส่วนใหญ่จะทำหน้าที่ขนยาเสพติดขึ้นรถบรรทุก โดยนายแต๊ก (ผู้ต้องหาที่ 1) จะจ่ายค่าจ้างให้หลังจากเสร็จงาน นอกจากนี้ผู้ต้องหาบางรายยังให้การเพิ่มเติมอีกว่า ได้มีการชักชวนญาติสนิทมาทำงานดังกล่าวด้วย เพราะหวังรายได้จากส่วนแบ่งในการขนยาเสพติด

จากการสอบถามนายแต๊ก (ผู้ต้องหาที่ 1) ให้การว่า เนื่องจากตนเองเคยถูกจับกุมดำเนินคดีในข้อหาพยายามฆ่า และเพิ่่งพ้นโทษจำคุกออกมาเมื่อปี พ.ศ.2552 ซึ่งในระหว่างจำคุกอยู่ในเรือนจำ ตนได้รู้จักกับเครือข่ายค้ายาเสพติด "บาก้า" และภายหลังจากที่ตนออกมาจากเรือนจำ ตนจึงได้ติดต่อไปยังเครือข่าย "บาก้า" เพื่อรับทำหน้าที่เป็นหัวหน้าขบวนการขนส่งยาเสพติด โดยตนได้ชักชวนเยาวชนที่อยู่แถวระเเวกบ้านให้มาช่วยขนยาเสพติด โดยให้ค่าจ้างเป็นจำนวนเงินที่สูง ซึ่งในการขนส่งยาเสพติดในแต่ละครั้ง ตนก็จะได้เงินค่าจ้างขน ยาเสพติดจำนวนกว่า 300,000 – 350,000 บาท 

จากการสอบถามคำให้การผู้ต้องหาทั้งหมดเบื้องต้น ผู้ต้องหาที่ 1, 2, 4 และ 6-10 ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ส่วนผู้ต้องหาที่ 3, 5, 11 และ 12 ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา

ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) จึงขอเตือนภัยสำหรับเยาวชนที่กำลังศึกษา หรือที่จบการศึกษาแล้วอยู่ระหว่างการหางานทำ โปรดอย่าเห็นแก่เงินจำนวนน้อยนิดในการเข้าไปผัวพันกับเครือข่ายยาเสพติด เพราะการกระทำดังกล่าวถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ซึ่งหากถูกดำเนินคดี นอกจากจะมีโทษหนักถึงจำคุกแล้ว จะทำให้เสียอนาคตได้

หากประชาชนมีเบาะแสข้อมูลการกระทำความผิด สามารถแจ้งข้อมูลได้ที่ กองบังคับการปราบปราม  การค้ามนุษย์  ชั้น ๒๐ อาคารกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เลขที่ ๑๑๐๖ ถนนพหลโยธิน แขวงจอมพล  เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ๑๐๙๐๐ สายด่วน ๑๑๙๑ หรือเพจเฟซบุ๊ก“กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์”