สาวเลี้ยงควายขายสุดช้ำถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกสูญเงินเกือบแสน

สาวเลี้ยงควายขายสุดช้ำถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกสูญเงินเกือบแสน





ad1

แก๊งคอลเซ็นเตอร์ยังระบาดต่อเนื่อง ล่าสุด น.ส.จินตนา (ขอสงวนนามสกุล)  อายุ 29 ปี ชาวบ้านตำบลสะเดา อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ มีอาชีพทำนาและเลี้ยงควายถูกหลอกมีส่วนเกี่ยวข้องขบวนการฟอกเงินต้องโอนเงินไปให้ตรวจสอบไม่เช่นนั้นจะถูกดำเนินคดี ทำให้หลงเชื่อโอนเงินไปให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์สูญเงินร่วมแสนบาท จึงได้นำเอกสารหลักฐานเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.นางรอง

นางสาวจินตนา ผู้เสียหาย  เล่าว่า เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2566 เวลา 13.30 น. ได้รับโทรศัพท์จากผู้หญิงคนหนึ่ง อ้างว่าเป็นพนักงานธนาคารแจ้งว่า มีคนอ้างเอาชื่อของตนไปเปิดบัญชี และมีการนำบัตรเครดิตไปซื้อคอมพิวเตอร์ Notebook  2 เครื่อง  ตนก็ตกใจเพราะผู้หญิงคนดังกล่าวบอกว่า จะต้องส่งเรื่องไปให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบ ต่อมาในวันเดียวกันช่วงเวลา 13.58 น. มีผู้ชายซึ่งอ้างว่าเป็นตำรวจจาก สภ.เมืองบุรีรัมย์ โทรเข้ามาหาตนเองอีกครั้งบอกว่า ตนมีชื่อเข้าไปมีส่วนเกี่ยวกับการกระทำความผิดคดีฟอกเงิน

จากนั้น ก็ให้คุยในไลน์และส่งเอกสารตราครุฑของทางราชการ  พร้อมรูปถ่ายที่หลอกว่า เป็นแก๊งที่เคยถูกจับกุมมาให้ดู  เพื่อให้ตายใจและเชื่อว่ามีชื่อเกี่ยวกับการกระทำผิดจริง ทั้งบอกว่าจะขอตรวจสอบทรัพย์สินโดยการให้ตนโอนเงินไปให้ตรวจสอบที่กองปราบปราบ เกี่ยวกับคดีฟอกเงิน อีกทั้งยังบอกอีกว่าหากไม่รีบดำเนินการตรวจสอบ ก็จะมีความผิดถูกดำเนินการหรือติดคุก ครอบครัวพ่อแม่ก็จะเดือดร้อนไปด้วย ตนกลัวว่าจะถูกดำเนินคดี จึงหลงเชื่อทำตามที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์บอกทุกอย่าง

ทั้งนี้ ครั้งแรกได้โอนผ่านธนาคารจำนวน 60,000 บาท ครั้งที่สองโอนผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิสอีก 29,000 บาท รวมเป็นเงิน 89,000 บาท  จากนั้นผู้ชายที่อ้างเป็นตำรวจก็พยายามโทรมาถามว่า ตนมีทรัพย์สินอะไรอีกบ้าง ตนก็บอกว่าตนมีอาชีพเลี้ยงควาย มีควาย มีบ้าน มีทองคำ และมีที่ดิน แก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็บอกให้เอาไปขาย แล้วให้โอนเงินไปตรวจสอบอีก  ตนจึงเริ่มเอะใจว่ามันแปลกๆ  แต่กว่าจะรู้ว่าเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์และถูกหลอกสูญเงินไป  89,000 บาทแล้ว  ซึ่งเงินดังกล่าวก็เป็นเงินที่เก็บสะสมจากการเลี้ยงควายขาย  ทำให้เสียใจมากอยากให้เจ้าหน้าที่ติดตามแก๊งมิจฉาชีพดังกล่าวมาดำเนินคดี  และอยากจะเตือนภัยคนอื่นด้วยจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อสูญเสียเงินเหมือนกับตนเองอีก

โดย : สุรชัย พิรักษา ผู้สื่อข่าวจังหวัดบุรีรัมย์