ทลายองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ"ไฮบริดสแกม"พบเงินหมุนเวียนกว่า 1,000 ล้านบาท

ทลายองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ"ไฮบริดสแกม"พบเงินหมุนเวียนกว่า 1,000 ล้านบาท





ad1

กองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิด เกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ชุดปฏิบัติการพิเศษหนุมานกองปราบ, เจ้าหน้าที่อัยการจากสํานักงานอัยการสูงสุด และ เจ้าหน้าที่ ปปง. จํานวนรวมกว่า 270 นาย เข้าตรวจค้นเป้าหมาย 30 จุด ในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ สมุทรปราการ ชลบุรี และอุดรธานี ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหา กลุ่มองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติเครือข่ายหลอกลงทุนออนไลน์ ไฮบริดสแกม (Hybrid Scam) ตั้งแต่ระดับหัวหน้าเครือข่ายที่มีหน้าที่ควบคุมสั่งการศูนย์ปฏิบัติการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ลงไป จนถึงคนรวบรวมบัญชีม้า คนรับจ้างเปิดบัญชีม้า และคนที่ดูแลเรื่องฟอกเงิน รวมจํานวนผู้ต้องหาทั้งสิ้น 9 ราย ดังนี้

1. น.ส.เบียนหรือMISSBIANอายุ40ปี(สัญชาติจีน)ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่2756/2566 ลง 28 ส.ค.66 ทําหน้าท่ีกลุ่มบริหาร เปิดบริษัทในประเทศไทย เพื่อฟอกเงิน โดยจับกุมได้ที่ ถนนร่มเกล้า แขวงมีนบุรี เขตมีนบุรี กรุงเทพฯ
 2. น.ส.ไช่ หรือ MISS PENGFEI อายุ 32 ปี (สัญชาติจีน) ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 2753/2566 ลง 28 ส.ค.66 ทําหน้าที่เปิดบัญชีม้า และกระเป๋าวอลเล็ตม้า โดยดําเนินอายัดตัว
3.น.ส.อัจฉราฯ อายุ 28 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 2745/2566 ลง 28 ส.ค.66 ทําหน้าที่เป็นกลุ่มบริหาร รวบรวมบัญชีม้า, กระเป๋าวอลเล็ตม้า, ขายเหรียญคริปโต และนําเงินสดไป ส่งมอบให้หัวหน้าเครือข่าย โดยจับกุมได้ที่ ถ.รามอินทรา แขวงมีนบุรี เขตมีนบุรี กรุงเทพฯ
4. น.ส.จักรีณาฯอายุ28ปีผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่2743/2566ลง28ส.ค.66ทําหน้าที่ ขายเหรียญคริปโต และนําเงินสดไปส่งมอบให้หัวหน้าเครือข่าย โดยจับกุมได้ที่ แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กรุงเทพฯ
 5. น.ส.ภัสราฯอายุ26ปีผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่2749/2566ลง28ส.ค.66ทําหน้าที่ เปิดบัญชีม้า และกระเป๋าวอลเล็ตม้า โดยจับกุมได้ที่ ซ.เจริญพัฒนา 7 แขวงบางชัน เขตคลองสามวา กรุงเทพฯ
6. นายณัฐฐินันท์ฯอายุ30ปีผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่2747/2566ลง28ส.ค.66ทําหน้าที่ เปิดบัญชีม้า และกระเป๋าวอลเล็ตม้า โดยจับกุมได้ที่ ซ.นวมินทร์ 157 แขวงนวลจันทร์ เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ

7. น.ส.สุภาวินีฯอายุ32ปีผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่2746/2566ลง28ส.ค.66ทําหน้าที่ เปิดบัญชีม้า และกระเป๋าวอลเล็ตม้า โดยจับกุมได้ที่ ถนนนวมินทร์ กรุงเทพฯ
8. น.ส.สุมาลีฯอายุ34ปีผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่2751/2566ลง28ส.ค.66ทําหน้าที่ เปิดบัญชีม้า และกระเป๋าวอลเล็ตม้า โดยจับกุมได้ที่ ม.5 ต.หมูม่น อ.เมืองอุดรธานี จ.อุดรธานี
9. น.ส.ศิริวรรณฯอายุ30ปีผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่2755/2566ลง28ส.ค.66ทําหน้าที่ เปิดบัญชีม้า และกระเป๋าวอลเล็ตม้า โดยจับกุมได้ที่ ถ.ร่มเกล้า แขวงมีนบุรี เขตมีนบุรี กรุงเทพฯ

 ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันโดยทุจริต หรือโดย หลอกลวง นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือ ข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน , ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กร อาชญากรรมข้ามชาติ, สมคบกันโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนข้ึนไป เพื่อกระทําความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการ กระทําความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน” ซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 มาตรา 341 มาตรา 342 มาตรา 343 , พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (1) (ฉบับแก้ไข พ.ศ.2560), พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ.2556 มาตรา 5 มาตรา 25 และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3 (3) มาตรา 5 มาตรา 6 มาตรา 9 มาตรา 60

 พฤติการณ์ของคดี สืบเนื่องจากเมื่อประมาณปี พ.ศ.2565 ผู้เสียหายได้ถูกกลุ่มคนร้ายใช้เฟซบุ๊ก ปลอมเป็นหญิงสาวหน้าตาดี เข้ามาพูดคุยตีสนิท จนผู้เสียหายไว้เนื้อเชื่อใจ จากนั้นกลุ่มคนร้ายได้ชักชวนให้ ผู้เสียหายเข้ามาร่วมลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) ผ่านเว็บไซต์ชื่อ CBOEX ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันที่ กลุ่มคนร้ายปลอมขึ้นมาทั้งหมด (แอปพลิเคชันดังกล่าวมีความคล้ายกับแอปพลิเคชันเทรดเหรียญดิจิทัลของจริงที่ ใช้ชื่อว่า CBOE) ปัจจุบันเว็บไซต์ปลอมดังกล่าวได้ปิดไปแล้ว

โดยกลุ่มคนร้ายได้แนะนําให้ผู้เสียหายสมัครเปิดบัญชีกับแพลตฟอร์มเทรดเหรียญดิจิทัลของไทย เพื่อสร้าง กระเป๋าเงินดิจิทัล และให้นําเงินไปซื้อเหรียญดิจิทัล สกุลเงิน USDT ผ่านแพลตฟอร์มดังกล่าว หลังจากนั้น กลุ่มคนร้ายได้หลอกลวงให้ผู้เสียหายโอนเหรียญดิจิทัลเข้าไปยังกระเป๋าเหรียญดิจิทัลของกลุ่มคนร้าย โดยทุกครั้งที่ ผู้เสียหายโอนเหรียญดิจิทัลไปให้กับกลุ่มคนร้าย ยอดเหรียญดิจิทัลจะแสดงในเว็บไซต์ สอดคล้องกับจํานวนที่ ผู้เสียหายโอนเข้าไป อีกทั้งยังมียอดจํานวนของผลกําไรจากการลงทุนแสดงอยู่ในเว็บไซต์ ซึ่งภายหลังจากการ ตรวจสอบพบว่าเป็นการปลอมข้อมูลตัวเลขขึ้นมาทั้งหมด เพื่อหลอกให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ และโอนเหรียญดิจทิ ัล เข้าไปเพิ่มอีก ต่อมาเมื่อผู้เสียหายแจ้งความประสงค์ที่จะขอถอนเงินออกมา กลุ่มคนร้ายกลับแจ้งว่าไม่สามารถ ดําเนินการถอนให้ได้ เนื่องจากติดปัญหาเรื่องภาษี และกลุ่มคนร้ายยังหลอกให้ผู้เสียหายโอนเหรียญดิจิทัลเข้าไป เพิ่มอีก โดยทางผู้เสียหายได้โอนเหรียญดิจิทัลสกุล USDT ไปยังกระเป๋าเหรียญดิจิทัลของกลุ่มคนร้าย จํานวน 15 ครั้ง รวมมูลค่าความเสียหายทั้งสิ้นกว่า 13 ล้านบาท ซึ่งภายหลังเมื่อกลุ่มคนร้ายปิดเว็บไซต์และบล็อก ช่องทางการติดต่อกับผู้เสียหาย ผู้เสียหายจึงเชื่อว่าตนเองถูกหลอก จึงได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงาน สอบสวน กก.1 บก.ปอท. เพื่อดําเนินคดีกับกลุ่มคนร้ายในคดีนี้จนกว่าคดีจะถึงที่สุด

ตํารวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย เจ้าหน้าที่ตํารวจ กก.1 บก.ปอท. จึงได้ทําการสืบสวนเส้นทางการเงิน และเส้นทางของเหรียญดิจิทัลที่ได้จากการหลอกลวงผู้เสียหายพบว่า ภายหลังจากที่เหรียญดิจิทัลถูกโอนออกจาก กระเป๋าของผู้เสียหาย ได้มีการโอนต่อไปยังกระเป๋าเหรียญดิจิทัลส่วนตัว หรือ Private wallet กว่า 20 กระเป๋า เพื่อเป็นการหลบเลี่ยงการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ตํารวจหลงัจากนั้นกลุ่มคนร้ายจะมีการโอนเหรียญดิจิทัลไปรวม ที่กระเป๋าเหรียญดิจิทัลกลางของคนร้าย ก่อนที่จะมีการเทขายเหรียญดิจิทัลเพื่อเปลี่ยนจากเหรียญดิจิทัลให้ กลายเป็นเงินบาทไทย

 จากข้อมูลการสืบสวนพบว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2565 ถึง 31 ธันวาคม 2565 กลุ่มคนร้าย มีการขายเหรียญดิจิทัลที่ได้มาจากการหลอกลวงผู้เสียหายทั้งในไทยและต่างประเทศ มีเงินหมุนเวียนกว่า 1,000 ล้านบาท
โดยรูปแบบการกระทําความผิดของกลุ่มคนร้าย พบว่าเป็นการกระทําความผิดในลักษณะขบวนการ

 มีการแบ่งหน้าที่กันทํา โดยจะแบ่งเป็น (1) หัวหน้า ทําหน้าที่ สั่งการ, (2) กลุ่มคอลเซ็นเตอร์ ทําหน้าที่ ติดต่อ พูดคุยและหลอกลวงเหยื่อ, (3) กลุ่มนายหน้า จัดหาบัญชีม้าและกระเป๋าวอลเล็ตม้า รวบรวมบัญชีต่างๆ นําไป มอบให้กับกลุ่มคอลเซ็นเตอร์, (4) กลุ่มบัญชีม้าและกระเป๋าวอลเล็ตม้า ทําหน้าที่รับจ้างเปิดบัญชีและกระเป๋าเงินดิจิทัล (5) กลุ่มที่ทําหน้าท่ีฟอกเงิน โดยนําเงินที่ได้มาจากการฉ้อโกงไปซื้อทรัพย์สินมีค่า และอสังหาริมทรัพย์ ต่างๆ
 
จากการสืบสวนพบว่า กลุ่มคนร้ายมีรูปแบบการฟอกเงิน ด้วยวิธีการยักย้ายถ่ายโอนเงินที่ได้จากการ กระทําความผิด หรือเงินที่เกี่ยวข้องกับการกระทําความผิดไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่เป็นบ้านหรู จํานวน 7 หลัง มูลค่ากว่า 350 ล้านบาท โดยมีการจัดตั้งบริษัทนอมินีขึ้นมาเพื่อถือครองกรรมสิทธิ์ในบ้านหรูทั้งหมด ซึ่งการจัดตั้ง บริษัทนอมินีนั้น กลุ่มคนร้ายจะใช้บริษัทรับทําบัญชี (ซึ่งเป็นบริษัทที่ น.ส.เบียน ฯ เป็นหนึ่งในกรรมการ) จัดหา คนไทยมาเพื่อจัดตั้งบริษัทนอมินีในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากการถือกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์จะต้อง เป็นนิติบุคคลสัญชาติไทยเท่านั้น กลุ่มคนร้ายจึงหาช่องทางหลีกเลี่ยงโดยการใช้ชาวจีน 1 คน ถือหุ้นใน บริษัทนอมินี 49% และจัดหาคนไทยอีก 3 คน ถือหุ้นอีกคนละ 17% จึงทําให้บริษัทนอมินีกลายเป็นนิติบุคคล สัญชาติไทยที่มีคนไทยถือหุ้นเกินกว่ากึ่งหนึ่ง และสามารถถือกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ได้ตามกฎหมาย

จากการขยายผลตรวจสอบข้อมูลของบริษัทนอมินี และบุคคลสัญชาติไทยที่เป็นนอมินีที่มีความเกี่ยวข้อง และเชื่อมโยงกับกลุ่มคนร้ายพบว่า มีการครอบครองบ้านหรูเพิ่มเติมอีก 10 หลัง มูลค่ากว่า 500 ล้านบาท รวมบ้านหรูที่ตรวจยึดเพื่อส่ง ปปง. ตรวจสอบทั้งสิ้น 17 หลัง มูลค่ารวมกว่า 850 ล้านบาท


 
ทั้งนี้จากข้อมูลการสืบสวนพบว่า ขบวนการดังกล่าวมีการเคลื่อนไหวและตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ในประเทศ กัมพูชา, ลาว และเมียนมาร์ ซึ่งเมื่อได้เงินจากการหลอกคนไทยแล้วจะนํามาฟอกเงินด้วยวิธีดังกล่าวข้างต้น โดยจะมีคนไทยร่วมขบวนการเป็นผู้ช่วยเหลือสนับสนุนอยู่ภายในประเทศไทย

จากข้อมูลการสืบสวนทั้งหมด ทางเจ้าหน้าที่ตํารวจจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ขออนุมัติศาล ออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการ โดยในวันที่ 30 สิงหาคม 2566 ตํารวจสอบสวนกลาง โดย บก.ปอท., บก.ป. และ บก.ปอศ., ชุดปฏิบัติการพิเศษหนุมานกองปราบ พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่อัยการจากสํานักงานอัยการสูงสุด และ เจ้าหน้าที่ ปปง. ได้สนธิกําลังจํานวนกว่า 270 นาย เข้าตรวจค้น และจับกุม ผู้ร่วมขบวนการทั้งกลุ่มชาวจีน, กลุ่มผู้จัดหาและรวบรวมบัญชีม้าและกระเป๋าวอลเล็ตม้า, กลุ่มรับจ้างเปิดบัญชีม้าและกระเป๋าวอลเล็ตม้า และ ผู้บริหารดูแลเรื่องฟอกเงิน โดยสามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้ทั้งสิ้นจํานวน 9 ราย ประกอบด้วยชาวจีน 2 ราย ชาวไทย 7 ราย จากนั้นจึงนําตัวผู้ต้องหาทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ปอท. เพื่อดําเนินคดีตาม กฎหมายต่อไป