“เศรษฐา”ลั่น นายกฯ ไม่มีสิทธิ์เหนื่อย เผยนั่งเก้าอี้นายกฯ แค่ 10 วิ ส่วนใหญ่ร่วมโต๊ะกับคณะทำงาน

“เศรษฐา”ลั่น นายกฯ ไม่มีสิทธิ์เหนื่อย เผยนั่งเก้าอี้นายกฯ แค่ 10 วิ ส่วนใหญ่ร่วมโต๊ะกับคณะทำงาน





ad1

เมื่อวันที่ 18 ก.ย.66 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง  กล่าวบนเวทีทอล์กของ Thairath Forum 2023 | Future Perfect เปิดมุมคิด พลิกอนาคต หลังเข้ารับตำแหน่ง ดำเนินรายการแลกเปลี่ยนความคิด พลิกมุมมองโดย สรกล อดุลยานนท์ 

ผู้ดำเนินการได้ถามว่า ทราบมาว่า หลังเป็นนายกรัฐมนตรี 7 วันที่ผ่านมาไม่เห็นหยุดเลย เหนื่อยหรือไม่ เศรษฐา ตอบว่า ตนเองไม่มีสิทธิเหนื่อย เพราะมีหน้าที่ต้องทำงาน ตราบใดที่มีภารกิจก็ต้องทำ  และพยายามจัดตาราง เมื่อวานมีเวลา 45 นาที เลยไปเล่นฟุตบอลก่อน เมื่อถามว่าสไตลส์การทำงานเป็นอย่างไร ในฐานะที่อยู่ภาคเอกชนมาก่อน นายเศรษฐา กล่าวว่า ก็เป็นปัญหาเมื่อก้าวเข้ามาสู่ภาคราชการ เมื่อมาเป็นนายกฯ  เนื่องจากตนเองเป็นคนทำงานและตัดสินใจเร็ว “ในภาคเอกชน เรื่องการตัดสินใจกระชับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องน้อยกว่า พอมาภาครัฐบาล หน่วยงานที่เกี่ยวมากกว่า ต้องมองให้กว้าง บางเรื่องตัดสินใจเร็วเกินไป ต้องมีการไตร่รองให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ก็เป็นบทเรียน ต้องเรียนรู้ไป ก็เป็นช่วงเวลาที่ต้องปรับตัวต่อ” 

เมื่อถามว่ามีหลักอะไรในภาคเอกชน ที่คิดว่าจะมาใช้ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เศรษฐา กล่าวว่า เรื่องแรกที่ประชาชนประสบอยู่ คือเรื่องปากท้องสิทธิเสรีภาพ เพราะหากจะคอยให้ครบหมดทุกมติจะใช้เวลานาน หากเรื่องไหน ที่ทำได้ สั่งการได้ จะแบ่งเบาภาระประชาชนได้ ก็จะทำก่อน เช่น ที่รัฐบาลทำไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา คือ เรื่องค่าไฟ และน้ำมันดีเซล แต่ยังไม่ครบ เพราะยังมีเรื่องเบนซิน ที่ต้องคำนึงภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบมากและมีรายได้น้อย  เพราะฉะนั้น นโยบายจะค่อยลดคลอดมาเรื่อยๆ โดยเรื่องค่าไฟที่ลดมาอยู่ที่  4.10 บาทต่อหน่วย แต่ภาคเอกชนเรียกร้องให้เหลือ 4.25 บาท/หน่วย วันนี้จะมีการสั่งการให้ผู้ว่าฯ ปตท. ไปเจรจา และอาจจะเห็นถึงเลข 3 ถ้าผู้ว่าฯ ปตท. กรุณา ก็จะเร็วกว่านั้น

เมื่อถามว่า จุดเด่นคือเรื่องความเร็ว จนมีคำว่า “เศรษฐาหาร 2” เช่นถ้าลูกน้องเสนออะไรขึ้นมาก็จะหารเวลาเหลือครึ่งหนึ่ง  เช่น 30 วัน ขอ 15 วัน ภาคราชการจะใช้แบบนั้นได้ไหม นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนเองเชื่อว่าภาคราชการเป็นภาคส่วนที่มีความสามารถ  ตอบรับนโยบายรัฐบาลและผู้นำได้ดี ตรงนี้ขึ้นอยู่กับผู้นำ ว่าสิ่งที่ผู้นำอย่างเห็น ภาคราชการ รัฐวิสาหกิจ ทำได้หรือไม่ เช่น ผู้อำนวยการการท่าอากาศยาน ที่เป็นคนเป็นรุ่นใหม่ ตนเองไปถามบางเรื่อง ท่านตอบมาว่าเสร็จต้นปี พอตนเองไปบี้หนักๆ ท่านก็สามารถทำให้ได้กลางไตรมาส 4  ถือว่าท่านตอบสนองนโยบายได้ดี หลายๆอย่างเราพูด อธิบายด้วยเหตุและผล องค์ประกอบหลายภาคส่วนประกอบ ตนเองเชื่อว่าข้าราชการรัฐวิสาหกิจทุกคน ตระหนักดีถึงความลำบากของประชาชน และหลายนโยบายที่ต้องทำและต้องทำอย่างเร่งด่วน  เช่น บางเรื่องที่ไม่คอยท่า เช่น วีซ่าฟรี เป็นเรื่องที่เร่งด่วน ที่จะเข้าสู่ไฮซีซั่นแล้วไม่กี่สัปดาห์ หากไม่รีบทำ ก็จะไม่มีผลเท่าไหร่กับนักท่องเที่ยวที่มาจากต่างประเทศ ต้องร่วมมือหลายภาคส่วน ฝ่ายเอกชนก็ตอบรับเรื่องนี้ได้ดี กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทยก็ขานรับได้ดี  

โดยตั้งแต่ประชุมครม. ครั้งที่แล้ว เรื่องวีซ่าฟรี จะเกิดขึ้นในวันที่ 25 กันยายน นี้แล้ว ซึ่งถือเป็นอะไรที่ทำได้ได้อย่างรวดเร็ว โดยรัฐบาลก็ไม่ได้ดูแค่มิติแรก แต่ดูทั้งหมด ตั้งแต่ การเข้าเมืองที่นักท่องเที่ยวก้าวเข้ามา ในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนต้องเพิ่มช่องตรวจเต็มทุกช่อง  ขณะที่ผู้อำนวยการการท่าอากาศยาน ก็ให้ความสำคัญกับคอยรับกระเป๋า ที่นักท่องเที่ยวหลายคนเจอเรื่องเวลาที่ยาวนาน  รวมถึงที่สนามบินภูเก็ต ที่แกร็ป ไม่สามารถเข้ามาให้บริการได้ ที่จะต้องเจรจากับผู้รับสัมปทานก่อน เช่นเดียวกับที่เชียงใหม่ที่จะต้องทำ 

เมื่อถามว่านายกฯค่อนข้างลงรายเลียด นายเศรษฐา กล่าวว่า ครับเพราะความกังวลของพี่น้องก็เป็นเรื่องของความมั่นคงเช่นกัน ทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก็ขานรับ เอกชนก็เหมืนกัน

เมื่อถามว่า เรื่องท่องเที่ยวนายกฯให้ความสำคัญสูงสุด อะไรที่อุดตันต้องให้รวดเร็ว เช่นเพิ่มสายการบิน เศรษฐา กล่าวว่า มีการพูดคุยทุกสายการบิน ว่าถ้าเราให้เรื่องวีซ่าฟรี ก็จะมีเรื่องใช้สายการบินมาก  แต่บางสายการบินยังแพงอยู่ ซึ่งเราทราบดีว่า ช่วงเดือนสิงหาคม  กันยายน เป็นซุปเปอร์โลว์ซีซั่นของภูเก็ต แต่ก็ยังมีความต้องการเรื่องตั๋วเครื่องบินอยู่ จึงหารือกับผู้บริหารสายการบินไทย ที่จะเพิ่มเรื่องขนาดของเครื่องบินแทนเพิ่มจำนวนเที่ยวบิน เพื่อรองรับผู้โดยสายได้มากขึ้น ซึ่งมีการเจรจากันค่อนมาก และพูดคุยหลายภาคส่วน และให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่ทำงาน ในเรื่องขั้นตอนวีซ่าฟรีด้วย ส่วนที่ยังไม่ให้กับชาวอินเดีย เพราะกำลังรอเรื่องสั่งเครื่องบิน  ภายในสิ้นปี จะมีการไปเยือนผู้นำสูงสุดของอินเดียและคุยเรื่องนี้ ซึ่งชาวอินเดียเข้ามาแต่งงานที่ไทยเยอะ ใช้เงินสูงมาก มีอัตราหย่าที่ต่ำ แสดงว่าการแต่งงานทุกๆหนจะใช้เงินมโหฬาร และแขกที่มาก็จัดเต็ม เช่น เรื่องการนำเข้าเครื่องเพชร ที่กำลังจะยกเลิกเสียภาษี กำลังเจรจากับกระทรวงการคลังเพื่อเอื้อต่อเรื่องดังกล่าว

เมื่อถามว่าเรื่องวีซ่าชาวจีน ตั้งเป้าหมายรายได้ไตรมาส 4 ไว้ที่เท่าใด นายเศรษฐา กล่าวว่า ยังไม่ได้ดูครบทุกมิติ แต่น่าจะได้ประมาณ 3.5 หมื่นล้าน ซึ่งยังไม่รวมเรื่องหารซื้อหมอนยางพารา และการซื้อชุดนักเรียนไปใส่เป็นแฟชั่น ต้องดูรายละเอียดอีกครั้ง แต่ตอนที่ไปลงพื้นที่เชียงใหม่ และคุยกับผู้หประกอบการ พบว่ามีการเด้งเข้ามาของบุ๊กกิ้งอย่างมีนัย ถือเป็นสัญญาณที่ดี 

เมื่อถามว่า การปล่อยวีซ่าฟรี กลัวหรือไม่ เพราะหลายคนกังวลเรื่องทุนจีนสีเทา นายเศรษฐา กล่าวว่า เราคำนึงไปพร้อมกับเรื่องวีซ่าอยู่แล้ว เรื่องความมั่นคง กองบัญชาการตำรวจแห่งชาติตระหนักดี ที่ต้องจัดการเรื่องนี้ไฟ การให้วีซ่าฟรี ไม่ได้หมายถึง ฟรีแบล็คลิสต์ ที่เราต้องเข้มงวดและบริหารจัดการต่อไป รวมถึงเรื่องเก่าที่ต้องสะสางกันไป

เมื่อถามว่ามีการให้ KPI จัดการเรื่องนี้หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนเองให้นโยบายไปว่าต้องไม่มี ผมว่าพี่น้องสื่อมวลชนจับตาอยู่ เป็นเรื่องที่คนอาจจะมีภาคส่วนน้อยที่ยังไม่เห็นด้วย ต้องบริหารจัดการให้ดี

ช่วงหนึ่ง เศรษฐา เล่าว่า ตั้งแต่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และเข้าทำงานในทำเนียบรัฐบาล ตนนั่งเก้าอี้ทำงานนายกรัฐมนตรี ในห้องทำงานเพียง 10 วินาทีเท่านั้น โดยใช้เป็นทางผ่านเข้าห้องน้ำเป็นส่วนใหญ่ และโดยมากจะไปนั่งร่วมโต๊ะกับคณะทำงานด้านต่างๆมากกว่า และยังมีแผนที่จะเตรียมเปิด "บ้านพิษณุโลก" ให้คณะทำงานเข้าไปทำงานที่นั่นอีกด้วย