คุณคือ “ผู้เสียภาษีที่ดี” ในมุมมองของกรมสรรพากรหรือไม่?

เจาะลึกระบบการคัดกรองการตรวจสอบภาษีจากฐานความเสี่ยง (Risk-Based Audit หรือ RBA) ของกรมสรรพากรไทยโดย วชิรวิชญ์ แก้วอุดม ผู้อำนวยการ ฝ่ายบริการระงับข้อพิพาทและแก้ไขปัญหาด้านภาษี บริษัท ฟอร์วิส มาซาร์ส ประเทศไทย จำกัด
คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่า เหตุใดกระบวนการขอคืนภาษีของคุณถึงดูเหมือนต้องใช้เวลานานและผ่านกระบวนการตรวจสอบที่ซับซ้อนหลังจากที่คุณยื่นแบบแสดงรายการภาษีเพื่อขอคืนไปแล้ว?
บางบริษัทอาจจะสามารถยื่นแบบแสดงรายการภาษีเพื่อขอคืนและได้รับเงินคืนภาษีได้ในระยะเวลาอันสั้น โดยไม่มีกระบวนการตรวจสอบหรือไม่มีคำถามใดๆ จากกรมสรรพากร แต่ในทางกลับกัน บางบริษัทกลับได้รับหนังสือจากกรมสรรพากรเพื่อเริ่มการตรวจสอบภาษีก่อนที่จะมีการอนุมัติการคืนเงิน

วชิรวิชญ์ แก้วอุดม ผู้อำนวยการ ฝ่ายบริการระงับข้อพิพาทและแก้ไขปัญหาด้านภาษี บริษัท ฟอร์วิส มาซาร์ส ประเทศไทย จำกัด
อะไรคือปัจจัยที่ทำให้การได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างกันจากกรมสรรพากร? คำตอบสั้นๆ ที่ได้ใจความ คือ ระดับของความเป็น “ผู้เสียภาษีที่ดีในมุมมองของกรมสรรพากร” ของคุณอยู่ในระดับใด? โดยกรมสรรพากรเองก็มีระบบคัดกรองภายใน หรือที่เรียกว่าระบบการคัดกรองการตรวจสอบภาษีจากฐานความเสี่ยง (Risk-Based Audit) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่นำมาใช้ในการพิจารณาระดับความเสี่ยงของผู้เสียภาษีในแต่ละราย ในการวิเคราะห์ความเป็นผู้เสียภาษีที่ดีตามเกณฑ์และเงื่อนไขภายในของกรมสรรพากร
ระบบ Risk-Based Audit (RBA) คืออะไร?
“ในแต่ละปี กรมสรรพากรได้รับข้อมูลการยื่นแบบแสดงรายการภาษีรวมถึงคำร้องขอคืนเงินภาษีเป็นจำนวนมหาศาล การตรวจสอบแบบแสดงรายการและคำร้องขอคืนเงินภาษีในทุกกรณีโดยเจ้าพนักงานสรรพากรจึงเป็นเรื่องที่อาจจะไม่สามารถทำได้ในทางปฏิบัติและทำให้เสียเวลาเป็นอย่างมาก” วชิรวิชญ์ แก้วอุดม ผู้อำนวยการ ฝ่ายบริการระงับข้อพิพาทและแก้ไขปัญหาด้านภาษี บริษัท ฟอร์วิส มาซาร์ส ประเทศไทย จำกัด
ด้วยเหตุนี้เอง กรมสรรพากรจึงได้มีการนำระบบ RBA มาใช้เพื่อช่วยคัดกรองและประเมินระดับความเสี่ยงของผู้เสียภาษีแต่ละราย โดยพิจารณาว่าผู้เสียภาษีหรือคำร้องขอคืนภาษีใดบ้างที่จำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบอย่างใกล้ชิด โดยการพิจารณาดังกล่าว อาจแบ่งได้เป็น 2 กรณี ได้แก่
ผู้เสียภาษีที่มีความเสี่ยงต่ำ: หรือที่มักเรียกว่า “ผู้เสียภาษีชั้นดี” ซึ่งอาจจะเข้าเกณฑ์ที่ได้รับเงินคืนโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบในรายละเอียด
ผู้เสียภาษีที่มีความเสี่ยงสูง: ซึ่งพิจารณาจากดัชนีตัวชี้วัดบางประการ โดยผู้เสียภาษีที่มีความเสี่ยงสูงนี้อาจจะต้องถูกตรวจสอบภาษีก่อนที่คำขอคืนเงินภาษีจะได้รับการอนุมัติ
นอกจากนี้ ระบบ RBA ไม่ได้จำกัดแค่ในการใช้ตรวจสอบเฉพาะกรณีการขอคืนภาษีเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่กรมสรรพากรใช้ในการคัดเลือกผู้เสียภาษีเพื่อการสุ่มตรวจสอบ แม้ในกรณีที่ไม่ได้มีการขอคืนเงินภาษีเลยก็ตาม

ระบบ RBA มีกระบวนการทำงานอย่างไร?
กฎเกณฑ์ เงื่อนไข และข้อกำหนดในการใช้ตรวจสอบภายใต้ระบบ RBA นั้นถือเป็นข้อมูลลับของทางกรมสรรพากร อย่างไรก็ตาม เป็นที่เห็นได้ชัดว่าระบบจะประเมินดัชนีชี้วัดความเสี่ยงจากฐานข้อมูลของผู้เสียภาษีแต่ละราย โดยใช้ทั้งข้อมูลจากการยื่นแบบแสดงรายการภาษีต่างๆ ของกรมสรรพากรเอง และแหล่งข้อมูลจากภายนอกกรมสรรพากร อาทิเช่น กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต ธนาคารพาณิชย์ หรือหน่วยงานราชการอื่นๆ เป็นต้น
ดัชนีชี้วัดเหล่านี้ไม่มีความคงที่ แต่จะได้รับการพิจารณาและปรับปรุงให้สอดคล้องกับช่วงระยะเวลา รวมถึงปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ นโยบายหลัก และลำดับความสำคัญในการตรวจสอบในแต่ละปี
แนวทางนี้ช่วยให้กรมสรรพากรสามารถจัดสรรทรัพยากรบุคลากรในการตรวจสอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมุ่งเน้นไปยังการตรวจสอบแบบแสดงรายการทางภาษีที่อาจมีประเด็นความเสี่ยง และเหมาะสมกับการตรวจสอบอย่างใกล้ชิดต่อไป
ตัวอย่างปัจจัยที่อาจกระตุ้นการตรวจสอบภายใต้ระบบ RBA
“จากประสบการณ์ในการให้บริการระงับข้อพิพาทด้านภาษีในหลายๆ กรณี ตัวอย่างปัจจัยดังต่อไปนี้อาจเพิ่มโอกาสที่ผู้เสียภาษีจะถูกเรียกตรวจสอบจากการวิเคราะห์งบการเงินและแบบแสดงรายการทางภาษีภายใต้ระบบ RBA ได้” วชิรวิชญ์ กล่าวเสริม
1.กำไรสะสมที่มีจำนวนมากอย่างมีนัยสำคัญ
ยอดกำไรสะสมจำนวนมากอาจจะสามารถดึงดูดความสนใจจากกรมสรรพากรได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ไม่มีกิจกรรมหรือเหตุผลทางธุรกิจที่ชัดเจนมารองรับ ทั้งนี้ อาจจะเป็นข้อสงสัยของกรมสรรพากรว่าผู้เสียภาษีกำลังถ่ายโอนกำไรไปให้กับบริษัทแม่ในต่างประเทศโดยใช้วิธีการอื่นเพื่อการเลี่ยงภาษีในประเทศไทยหรือไม่ อาทิเช่น การสร้างค่าใช้จ่ายค่าบริการที่มากเกินสมควรไปยังบริษัทในเครือต่างประเทศ เป็นต้น
2.ข้อมูลภายในของกรมสรรพากรไม่สอดคล้องกับแหล่งข้อมูลภายนอก
ระบบ RBA ไม่ได้พึ่งพาเพียงข้อมูลที่รายงานในแบบแสดงรายการภาษีเท่านั้น แต่ยังมีการตรวจสอบย้อนกลับ (Cross-check) กับฐานข้อมูลของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนอื่นๆ เช่น ข้อมูลจากกรมศุลกากร ตัวอย่างเช่น ความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างตัวเลขการส่งออกที่รายงานในแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) กับข้อมูลของกรมศุลกากร ซึ่งความแตกต่างนี้เอง อาจจะนำไปสู่การสอบสวนเพิ่มเติม ดังนั้นการจัดทำข้อมูลให้สอดคล้องกัน หรือการเตรียมเหตุผลสนับสนุนสำหรับความแตกต่างนี้ไว้ให้พร้อมต่อการตรวจสอบ จะช่วยลดความเสี่ยงนี้ได้
3. การจัดหมวดหมู่และนำเสนอรายจ่ายบางรายการในแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บริษัท (ภ.ง.ด. 50)
วิธีการจัดหมวดหมู่ (grouping) ในแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด. 50) มีความสำคัญมากกว่าที่หลายบริษัทคาดคิด ค่าใช้จ่ายบางประเภท เช่น ค่ารับรอง มีข้อจำกัดเฉพาะในการหักค่าใช้จ่ายภายใต้กฎหมายภาษีของไทย หากจำนวนเงินเกินเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้ อาจกระตุ้นให้เกิดคำถามจากการแสดงรายงานค่ารับรองในแบบ ภ.ง.ด. 50 และอาจขยายขอบเขตของการตรวจสอบไปยังเรื่องอื่นๆ ในแบบแสดงรายการทางภาษีได้ด้วย

ตัวอย่างที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัจจัยที่ระบบ RBA อาจนำมาพิจารณาเพื่อการวิเคราะห์สถานะและความเสี่ยงของผู้เสียภาษีแต่ละราย ดังนั้น เมื่อรู้สาเหตุเบื้องต้นของความเสี่ยงแล้ว ผู้เสียภาษีจะสามารถจัดการเตรียมการ รวมถึงทบทวนวิธีปฏิบัติทางภาษีของตนเอง เพื่อลดความเสี่ยงในการถูกตรวจสอบภายใต้กรอบของ RBA ได้ดียิ่งขึ้น
ฟอร์วิส มาซาร์ส ประเทศไทย มีความเชี่ยวชาญในการให้ความช่วยเหลือบริษัทต่าง ๆ ในการทบทวนสถานะทางภาษีผ่านมุมมองของระบบ RBA ซึ่งรวมถึงการระบุความเสี่ยงและสนับสนุนการแก้ไขเชิงรุกก่อนที่จะเกิดคำถามจากกรมสรรพากร
ทั้งนี้เราเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าการ "ตรวจสุขภาพ" ของคุณอย่างสม่ำเสมอ ย่อมเป็นทางเลือกที่ดีกว่าไปพบแพทย์เมื่อมีอาการเจ็บป่วยอย่างแน่นอน

