ก้าวย่าง 2 ทศวรรษ กับความรู้สึกซ้ำๆ ของเหยื่อความรุนแรงในชายแดนภาคใต้ แม้ได้รับการเยี่ยมให้กำลังใจเป็นสายธาร

ก้าวย่าง 2 ทศวรรษ กับความรู้สึกซ้ำๆ ของเหยื่อความรุนแรงในชายแดนภาคใต้ แม้ได้รับการเยี่ยมให้กำลังใจเป็นสายธาร





ad1

จากการสูญเสียบุคคลที่รักทั้งสองคน แม้จะอยู่คนละฝากฝั่งแต่ความเป็นสายเลือดไม่สามารถตัดขาดกันได้ คนหนึ่งเป็นฝ่ายรัฐสังกัดกรมการปกครองทำหน้าที่เป็น"ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน" อีกคนเป็น"นักรบจูแวปาตานี"สังกัดกองกำลัง BRN มีหมายจับแขวนคอไว้หลายหมาย ทั่งสองฝ่ายหลังเสียชีวิตได้นับการสรรเสริญอย่างสมเกียรติทั่งคู่ แม้เรื่องราวเหล่านั้นจะเคยเกิดขึ้นในพื้นที่มาอย่างโชกโชน แต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันจะเกิดกับครอบครัวของตัวเอง

“เขาจากไป โดยยังไม่ได้บอกกล่าวอะไรสักคำ  ไม่ได้ร่ำลา ไม่มีแม้แต่คำสั่งเสียใดๆ"
 

วันเกิดเหตุ เขาออกไปทำงานตามปกติ  วันนั้นทั้งวัน ไม่ได้เจอกัน ไม่ได้คุยกันเลย  มารู้อีกที ก็ตอน 8 โมง 10 นาที ว่า เขาถูกยิง ลูกสาวเป็นคนโทรมาบอกว่า  มามี๊ ป๊าโดนยิง ตอนนั้นก็ยังคิดว่า เขาจะรอด 50 ๆ คือ ไม่ตาย ตนก็ได้รีบขับรถกลับมาที่บ้าน เมื่อมาถึง มีตำรวจรออยู่ แล้วบอกว่า ให้ใจเย็นๆ ทำใจดีๆ ตอนนี้ยังเอาสามีเราออกมาไม่ได้นะ  ได้ยินแบบนั่น เราก็รู้แล้วว่าเขาไม่รอด เข่าแทบทรุด มันตื้อไปหมด ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริง"
   
ความรู้สึกของ นางศศิธร หะยีเลาะ ภรรยา ของ นายอาหมะกอซี หะยีเลาะ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 3 ต.นาเกตุ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ที่ถูกยิงเสียชีวิต ขณะร่วมปฏิบัติหน้าที่เข้าไปเจรจาให้ผู้ก่อเหตุรุนแรงยอมมอบตัว เมื่อวันที่ 4 ก.ค. 2566 ผู้ที่ต้องกลายเป็นหญิงหม้าย ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

ศศิธร  ได้บอกเล่าเรื่องราว เกี่ยวกับสามีผู้เป็นที่รักของครอบครัว ให้ฟังว่า เหตุผลที่สามีอยากมาเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน เพราะอยากพัฒนาหมู่บ้านของเขา และอยากมาดูแลแม่ แม่แก่มากแล้ว จะให้น้องสาวของสามีมาดูแล น้องสาวก็ทำงานอยู่ต่างอำเภอทำให้ไม่มีใครดูแลแม่ในช่วงกลางวัน จึงตัดสินใจอาสากลับมาทำงานที่บ้าน ซึ่งตอนนั้นทำงานเป็นกุ๊กอยู่ที่ร้านอาหารในมาเลเซีย  เพื่อจะได้มาดูแลแม่ ซึ่งตอนที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน สามีเป็นคนขยันมาก อาสาช่วยเหลือทุกคนในหมู่บ้าน ไม่ว่าใครเดือดร้อนเรื่องใดก็ตาม ก็จะอาสาเข้าไปช่วยเหลือลูกบ้านโดยทันที สามีเป็นคนมุ่งมั่น เต็มที่กับการทำงาน จึงเป็นที่รักของเพื่อนร่วมงานทุกคน  เพราะเป็นคนดี ชอบช่วยเหลือคนอื่น  ทุกคนยังเสียดาย  ตอนเกิดเหตุไม่มีใครเชื่อว่าจะเป็นสามีตน  ยังถามว่าใช่หรือ 

ตั้งแต่ สามีตัดสินใจมาหน้าที่เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ทุกวันที่ออกไปทำงาน ตนก็จะเตือนตลอดว่า ให้ระมัดระวัง ดูแลตัวเอง เซฟตัวเองให้ดี  เพราะอย่างที่รู้ ที่เห็นกันตามข่าวต่างๆ พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เจ้าหน้าที่ของรัฐ มักโดนยิงบ้าง โดนทำร้าย อยู่บ่อยครั้ง แต่ในวันที่เกิดเหตุ วันนั้นเราแทบจะไม่ได้คุยกันเลย ตอนนี้เขาจากไปแล้ว ตน ยังทำใจไม่ได้ ยังรู้สึกเหมือนว่าสามียังอยู่ อยู่ข้างๆ ตนกับลูก ปกติตนเป็นคนแสดงออกทางความความรู้สึกค่อยไม่เก่ง  ที่ผ่านมาไม่เคยพูดคำว่า รัก กับสามีเลย  หากย้อนเวลากลับไปได้ อยากบอกให้เขารู้ว่าเรารักนะ รักมากๆ รักเขาที่สุดเพราะที่ผ่านมาไม่เคยได้บอก ไม่เคยแสดงความรักต่อกัน จนถึงวันที่เขาจากไปไม่มีวันกลับ

ส่วนลูกสาว บอกเลยว่า เข้มแข็งกว่าตนเองมาก แต่ก็รู้ว่าลูกสาวแอบไปร้องไห้  และพยายามไม่ให้ตนเองเห็น ทุกครั้งที่ลูกสาวขึ้นไปบนห้องของป๊าเขา  เห็นเสื้อผ้าป๊า ก็จะยืนมอง ด้วยความรักและคิดถึง เพราะเขารักป๊าของเขามาก หลังจากป๊าของเขาเสีย เขาก็ไปเอา ผ้าห่ม ผู้ปูที่นอนของป๊าเขามากอด แล้วก็บอกห้ามตนว่า ผ้าปูที่นอนของป๊า  มามี๊อย่าซักนะ  อย่าซักนะ อาเด๊ะจะเอามานอนมาหนุน มากอดน้องอยากเอามาหอม ทุกคืนตอนนี้ตนทำได้ คือนอนกอดกับลูก. จับมือให้กำลังใจกัน และบอกกับลูกว่า  ถึงแม้ป๊าจะไม่อยู่แล้ว แต่ยังมีมามี๊  มามี๊จะเป็นทั้ง มามี๊และป๊าให้ลูกเอง

ท่ามกลางความเสียใจของครอบครัว  แต่เราก็ยังเรารู้สึกภาคภูมิใจนะ  ที่สามีเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้ที่ได้เสียสละทำหน้าที่เพื่อประเทศชาติอย่างดีที่สุด จวบจนวินาทีสุดท้าย  ยิ่งได้เห็นรูปภาพของสามี  ในบางมุมที่สื่อได้หยิบเอาไปนำเสนอ เป็นภาพถ่ายตอนเขายิ้ม  ทำให้เราได้เห็นรอยยิ้มของเขา มันคือ รอยยิ้มของนักสู้รอยยิ้มของวีรบุรุษ”

หากสามีรับรู้ได้ ก็อยากบอกว่า ไม่ต้องเป็นห่วงลูก พี่ๆน้องๆ ญาติทุกคนคอยดูแลให้กำลังใจอย่างดี ส่วนอนาคตของลูกสาว สามีเขาเคยบอกไว้เมื่อตอนยังมีชีวิตอยู่ว่า ไม่ต้องการบังคับลูก เขาอยากเรียน อยากเป็นอะไรก็ตามแต่ที่ลูกต้องการ แต่ป๊าเขาอยากให้เรียนจนจบปริญญาตรี ซึ่งตอนนี้ก็มีหน่วยงานของรัฐ ที่ดูแลเรื่องการศึกษา เข้ามารับปากว่าจะช่วยเหลือดูแลลูกของเราอย่างดีที่สุด และนับตั้งแต่เกิดเหตุทั้งฝ่ายปกครอง ผู้ว่าปัตตานี แม่ทัพภาคที่ 4 ก็มาเยี่ยมให้กำลังใจไม่ขาดสาย ทำให้ตนรู้สึกเข้มแข็งขึ้น แต่ถามว่า ร้อยเปอร์เซ็นมั๊ย ตอบได้เลยว่า ไม่ มันไม่รู้จะบรรยายยังไง 

นี่เป็นเพียงความส่วนหนึ่งของความสูญเสียที่ นางศศิธร  หะยีเลาะ และครอบครัว ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์เหตุรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้  ที่เกิดขึ้นนานเกือน 2  ทศวรรษ