เอกชนอีสานเรียกร้องจัดตั้งรัฐบาลเร็วที่สุดกอบกู้ศก.ดิ่งเหว-หนุน"เศรษฐา"เป็นนายกฯเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ

เอกชนอีสานเรียกร้องจัดตั้งรัฐบาลเร็วที่สุดกอบกู้ศก.ดิ่งเหว-หนุน"เศรษฐา"เป็นนายกฯเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ





ad1

นครราชสีมา –เลขาธิการสภาอุตสาหกรรมอีสาน ระบุ ภาคเอกชนเรียกร้องจัดตั้งรัฐบาลให้เร็วที่สุดกอบกู้เศรษฐกิจตกต่ำ และต้องเป็นรัฐบาลที่ประนีประนอม มีเสถียรภาพ นักลงทุนและภาคธุรกิจจะเชื่อมั่น ชี้ “เศรษฐา” เข้าใจระบบเศรษฐกิจ เหมาะเป็นนายกฯ

นายหัสดิน สุวัฒนะพงศ์เชฏ เลขาธิการสภาอุตสาหกรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เปิดเผยว่า กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคก้าวไกล หยุดปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นับตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2566 ไปจนกว่าจะมีคำวินิจฉัยเป็นอย่างหนึ่งอย่างใด  ซึ่งนำไปสู่การส่งไม้ต่อจากพรรคก้าวไกลให้กับพรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแทนและเสนอชื่อโหวตนายกรัฐมนตรีในที่ประชุมรัฐสภา วันที่ 27 กรกฎาคมที่จะถึงนี้ เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามแนวทางประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข และอยู่บนพื้นฐานยึดตามข้อตกลง 8 พรรคการเมืองเดิม แต่เนื่องจากผลการโหวตนายกรัฐมนตรีที่ผ่านมา ทั้ง 8 พรรค รวมเสียงได้ 312 เสียง และไม่สามารถได้รับการเห็นชอบจากรัฐสภามากพอ เพราะติดเงื่อนไขเกี่ยวกับการแก้ไขมาตรา 112  พรรคเพื่อไทยจึงได้หารือกับ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล เพื่อเดินหน้าหาเสียงสนับสนุนจาก ส.ว. และ ส.ส.มาเพิ่ม เพื่อให้ได้เสียงเกิน 375 เสียง และอาจจะต้องดึงพรรคอื่นอีก 2-3 พรรค เข้ามาร่วมจัดตั้งรัฐบาล เพื่อให้ได้เสียงสนับสนุนที่มากพอ

ซึ่งมีหลายพรรคที่ระบุชัดเจนว่า ไม่เอาพรรคก้าวไกล ดังนั้น ก็ต้องมาดูกันอีกทีว่า เมื่อมีเงื่อนไขความจำเป็นอื่นๆ เข้ามา ทางพรรคก้าวไกลจะเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลด้วยหรือไม่  และถ้าพรรคก้าวไกลไม่อยู่ ก็อาจจะมีปัญหาตามมา ไม่ว่าเรื่องความชอบธรรม เพราะเป็นพรรคที่ได้คะแนนเสียงจากประชาชนมากสุด และคนที่สนับสนุนนายพิธาฯ และพรรคก้าวไกลอาจออกมาประท้วง ซึ่งหากประท้วงรุนแรงภาพลักษณ์ของประเทศก็จะไม่ดี จึงอยากจะเห็นบรรยากาศของการประนีประนอมกัน  ถ้าก้าวไกลไม่ได้ร่วมรัฐบาลทางพรรคก็ต้องพูดคุยกับผู้สนับสนุนให้เข้าใจและอดทนต่อไปอีกสักนิด เพราะการเมืองระยะเวลา 4 ปีอาจจะไม่นิ่ง  แต่ถ้าพรรคก้าวไกลสามารถเป็นพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลโดยมีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำฯ ได้  ก็จะเป็นความสวยงามของการเมืองไทย ที่ทุกฝ่ายสามารถจะลงมาประนีประนอมพูดคุยกันได้ ในขณะที่ ส.ว.เองก็ต้องพิจารณาถึงประเทศชาติเป็นหลักด้วย  เพราะวันนี้ เราต้องการรัฐบาลที่มีเสถียรภาพพอสวมควร และได้รับการยอมรับจากหลายๆ ฝ่าย ซึ่งการยอมรับหมายถึงเสียงจากภาคประชาชนด้วย 

ขณะที่ภาคเอกชน ยังเรียกร้องให้มีการจัดตั้งรัฐบาลให้ได้เร็วที่สุด และรัฐบาลจะต้องมีความประนีประนอมและมีเสถียรภาพ เพื่อทำให้การเมืองเดินหน้าต่อไปได้ เพราะถ้าได้รัฐบาลเร็ว อาจจะพิจารณางบประมาณปี 2567 ได้ทัน แต่ถ้าได้รัฐบาลใหม่ช้า เนิ่นนานออกไปอีก ก็จะยิ่งทอดเวลาทำให้ต้องใช้งบของปี 2566 ไปก่อน ซึ่งตอนนี้ เศรษฐกิจไทยกำลังอ่อนแอ ภาคการส่งออกติดลบ ภาคการท่องเที่ยวอาจจะดูดีขึ้นแต่ถ้ามีการประท้วงรุนแรง ภาคการท่องเที่ยวก็จะแย่ลง ดังนั้น การจัดตั้งรัฐบาลให้ได้โดยเร็วและมีเสถียรภาพด้วยจึงมีความสำคัญกับภาคเศรษฐกิจอย่างมาก ซึ่งนักการเมืองนักลงทุนกำลังรอดูสถานการณ์อยู่ว่าจะออกมาในรูปแบบไหน ถ้าการเมืองวุ่นวาย นักลงทุนก็คงจะทอดเวลาชะลอการลงทุนต่อไป ยกเว้นการลงทุนบางโครงการที่เริ่มไปแล้วก็คงจะต้องเดินหน้าต่อ  แต่ส่วนอื่นๆ ที่กำลังจะเดินทางเข้ามา โดยเฉพาะประเทศจีนที่จำเป็นจะต้องย้ายฐานการผลิตบางส่วนมายังภูมิภาคอาเซียน เพราะถูกต่อต้านจากตลาดโลกเรื่องการทุ่มตลาดของจีน ในตอนนี้มีอยู่ 4-5 ประเทศที่เป็นเป้าหมายของจีน ดังนั้น ถ้าเรายังทอดเวลาไม่ได้รัฐบาลใหม่และไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองสักที นักลงทุนทั้งจากจีนและประเทศอื่นๆ ก็จะประวิงเวลาออกไป ทำให้ประเทศชาติเสียโอกาสไปด้วย

ส่วนเรื่องแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ถ้าเป็นนายเศรษฐา ทวีสิน ตนมองว่าเป็นเงื่อนไขที่ดี เพราะมีความเข้าใจระบบเศรษฐกิจมากกว่า แต่เงื่อนไขของประเทศไทยไม่ได้ขึ้นอยู่เฉพาะเรื่องนี้เท่านั้น แต่การเมืองจะต้องประนีประนอม และมีความสงบได้ด้วย  เพราะวันนี้ ส.ว.ยังมีอำนาจในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ตนจึงอยากเห็นภาพที่พรรคก้าวไกลยังคงร่วมจัดตั้งรัฐบาลและดึงพรรคการเมืองมาเพิ่มสัก 2 พรรคเข้ามาร่วมจัดตั้งรัฐบาลได้เปลี่ยนตัวจากพรรคก้าวไกลไปเป็นพรรคเพื่อไทยแล้ว  พร้อมจะสนับสนุน จาก ส.ว.บางส่วนเพิ่มขึ้นอีก  ก็จะเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้ได้รับสนับสนุนในสภาฯ เกิน 375 เสียง  ทำให้การจัดตั้งรัฐบาลสามารถเดินหน้าต่อไปได้  ส่วนใครจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่นั้นตนยอมรับได้ ห่วงแค่เรื่องเสถียรภาพทางการเมืองเท่านั้น เพราะวันนี้ระบบเศรษฐกิจของประเทศกำลังแย่ แนวคิดแก้ไขระบบเศรษฐกิจแบบสุดโต่งของบางพรรคจึงอาจจะไม่เหมาะสม ซึ่งหากเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นนายเศรษฐาฯ ก็จะมีความเข้าใจระบบเศรษฐกิจมากกว่า จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกับภาวการณ์ขณะนี้ แต่อย่างไรก็ตาม  การที่จะได้เสียงจาก ส.ว. 60 กว่าคนมาสนับสนุนเพิ่มก็เป็นไปได้ยาก ดังนั้น การดึงพรรคอื่นๆ สัก 1-2 พรรคเข้ามาร่วม บวกกับดึงเสียง ส.ว.เข้ามาเพิ่มอีก ก็เชื่อว่า จะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ในไม่ช้า” นายหัสดินฯ กล่าว .

โดย...ประสิทธิ์ ตั้งประเสริฐ // นครราชสีมา