ตำรวจคุม"ไอ้เบ็น" มือปืนยิงเซียนไก่ชนทำแผนรัวยิง 4 นัด

ตำรวจคุม"ไอ้เบ็น" มือปืนยิงเซียนไก่ชนทำแผนรัวยิง 4 นัด





ad1

ตำรวจภาค 7 คุม "ไอ้เบ็น" มือปืนก่อเหตุยิงเซียนไก่ชน ตายสยองคาบ่อนในบ่อนไก่ชน ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ รับยิงปืนขึ้นฟ้า 1 นัดก่อนจะกระหน่ำยิงต่ออีก 4 นัดจนแน่นิ่ง ก่อนถูกตำรวจไล่ล่าจนยอมมอบตัว พร้อมผู้ต้องหาอีก 6 ราย

เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 13 ต.ค. 66 ที่สภ.ดอนตูม จ.นครปฐม พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผบช.ภ.7 พล.ต.ต.สิทธิชัย โล่กันภัย รองผบช ภ.7 พล.ต.ต.ชมชวิณ ปุระธนานนท์ รองผบช ภ.7 พล.ต.ต.จักรกฤษ เครือสุนทรวานิช ผบก.ภ.จว นครปฐม พ.ต.อ.ทินกร รังรื่น รรท.ผกก.สภ.ดอนตูม พ.ต.ท.อำพล ภัทรมงคลกุล รอง ผกก สส. ร่วมกันแถลงข่าว จับกลุ่ม ผู้ต้องหาตามหมายจับก่อเหตุอุกฉกรรจ์รวม 7 ราย ได้แก่ 1. นายเบ็น เหล่างาม อายุ 29 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดนครปฐมที่ 538/2566 โดยแจ้งข้อกล่าวหา ฆ่าผู้อื่น มีอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืนไว้ด้วยความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านสาธารณะโดยไม่มีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ และยิงปืนโดยใช่เหตุในเมืองหมู่บ้านหรือที่ชุมชน

ต่อมาที่ตำรวจได้นำตัวไปทำแผน ยังสนามไก่ชนวรวิช ซึ่งเป็นจุดเกิดเหตุที่ นายนายเบ็น เหล่างาม ได้นำอาวุธปืนที่ก่อเหตุซุกซ่อนมาในกล่องสีชมพูดังกล่าว เมื่อมาถึงได้นำอาวุธปืนเหน็บใส่ไว้ที่เอวแล้วเดินลงสนามเชียร์ไก่ กระทั่งมีการตะลุมบอนกันเกิดขึ้น จึงได้ชักอาวุธปืนยิงขึ้นฟ้า 1 นัด ก่อนจะใช้ปืนจ่อยิงนายพิรุณ ยศเครืออีก 4 นัด จนนอนแน่นิ่งไป จากนั้นได้วิ่งออกไปทางประตูขึ้นรถยนต์ Fortuner สีขาวหมายเลขทะเบียน กล 3000 นครปฐม หลบหนีไป กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกหมายจับและกดดันไล่ล่า จนทำให้นายเบ็นยอมติดต่อเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ส่วนผู้ต้องหาทั้ง 7 คนในคดียิงบ่อนไก่ ประกอบด้วย 1.นายเบ็น เหล่างาม 2.นายสรศักดิ์ เหล่างาม อายุ 34 ปี 3.นายดนุชเดช ฉายทองคำ อายุ 24 ปี 4.นายอวิรุทธ์ อายุเคน อายุ 41 ปี 5.นายธวัชชัย เหล่างาม อายุ 32 ปี 6.นางสาวสุพรรษา ม่วงวัดท่า อายุ 35 ปี และ 7.นางสาวศุภราลักษณ์ ห้วยหงษ์ทอง อายุ 35 ปี 

โดยแจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันช่วยผู้อื่น ซึ่งเป็นผู้กระทำผิดหรือผู้ต้องหาการทำผิดอันมิใช่ความผิดลหุโทษ หรือไม่ให้ต้องโทษหรือรับโทษน้อยลง ทำให้เสียหายทำลายซ่อนเร้นออกไปเสีย หรือทำให้สูญหายหรือไร้ประโยชน์ซึ่งพยานหลักฐานในการกระทำความผิด โดยให้พำนักแก่ผู้นั้น โดยซ่อนเร้น หรือโดยช่วยผู้นั้นด้วยประการใดๆ เพื่อไม่ให้ถูกจับกุม