“ทนายตั้ม” มอบหลักฐานให้ “บิ๊กเต่า” สอบเส้นทางการเงินโยงส่วยบิ๊กตำรวจ

“ทนายตั้ม” มอบหลักฐานให้ “บิ๊กเต่า” สอบเส้นทางการเงินโยงส่วยบิ๊กตำรวจ





ad1

เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2567 ที่กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ(บก.ปปป.) นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เดินทางนำหลักฐานมามอบให้กับ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก.

นายษิทรา เผยว่า เอกสารที่จะยื่นให้กับผู้การเต่า มี 2 ส่วน ส่วนแรก คือ  statement ของพิมพ์วิไล ที่ต้องการให้ผู้การเต่า ตรวจสอบเส้นทางการเงิน เพื่อยืนยันข้อมูลว่า ข้อมูลวันที่ตนเองได้แถลงข่าวไปนั้น เป็นข้อมูลจริง พิมพ์วิไลโอนบัญชีให้คชาฌาน และคชาฌานโอนให้รัฐพงษ์ และมีการโอนบัญชีให้ตำรวจหลายๆคน จึงอยากให้ตรวจสอบบัญชีเหล่านี้ทุกบัญชีว่ามีการโอนกี่ครั้งแล้ว โอนไปเพื่ออะไร ส่วนที่ 2 เป็นข้อมูลจากสายลับของตนเอง ซึ่งสายลับคนนี้มีความเชื่อมั่นในผู้การเต่า สูง จึงให้เอาข้อมูลแช็ต พร้อมสลิปโอนเงินต่างๆมาให้ผู้การเต่า

ซึ่งในวันนี้ นายษิทรา ยังไม่มีการแจ้งความดำเนินคดีกับใคร ใน มาตรา 157 วันนี้มายื่นให้ตรวจสอบเส้นเงินอย่างเดียว หากผู้การเต่า ทำครบแล้ว และมีเส้นเงินไปถึง ตามที่ตนเองได้ให้สัมภาษณ์จริง ถึงเวลานั้นตนเองจะมาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อแจ้งความดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งวันนี้ตนเองมาในฐานะ "ผู้ที่พบเห็นการกระทำความผิด"

ขณะที่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ เผยว่า เอกสารทั้งหมดที่ได้ในวันนี้ จะส่งให้ บก.ปปป.ดำเนินการ ต้องตรวจสอบเอกสารว่าถูกต้องหรือไม่ มีที่มาข้อเท็จจริงอย่างไร และจะต้องให้ทนายตั้มไปชี้แจงที่มาของเอกสาร ก่อนจะขยายเส้นเงินต่างๆตามที่ทนายตั้มร้องขอ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ยังเผยอีกว่า ขอให้สบายใจ

"พวกเราเป็นตำรวจ อาชีพทำงานซื่อตรง แบบตรงไปตรงมา และจะให้ความเป็นธรรมกับทุกคน เราไม่เคยหนักใจ เพราะเราเป็นหน่วยงานที่ต้องรับเรื่องจากทั่วประเทศอยู่แล้ว เรื่องหนักๆก็มาลงที่นี่ เพราะฉะนั้น เรื่องที่ทนายตั้มมา ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะเราต้องการเก็บกวาดบ้านตัวเองอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัวว่าที่นี่จะลำเอียง เราจะให้ความเป็นธรรมกับทุกคนเท่าเทียมกัน"

พล.ต.ต.จรูญเกียรติ เผยต่อว่า วันนี้ต้องขอขอบคุณทนายตั้ม ที่เอาข้อมูลมาให้ ถือว่าเป็นโอกาสดี ที่จะได้ทำความสะอาดบ้านตัวเอง ตนเองทำงานให้ทุกคน โดยเท่าเทียมกัน เพราะเรามีอุดมการณ์ในการเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อยู่แล้ว ใครผิดก็ผิด ถูกก็ถูก ใครทำผิดก็ออกไป อยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์กับสังคมตำรวจของประชาชน

หลังจากนั้นผู้สื่อข่าวถามต่อว่า พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ซึ่งมีความใกล้ชิดกับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร จะทำให้น้ำหนักในการตรวจสอบเรื่องนี้ลดลงหรือไม่นั้น พล.ต.ต.จรูญเกียรติ เผยว่า ตนเองเติบโตมาจากการทำงานโดยเฉพาะ และไม่เคยเลียก้นนาย เพื่อความเจริญก้าวหน้า ตนเองโตมาด้วย 2 ขา 2 มือ และสมองของตนเอง ส่วน พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ เป็นผู้บังคับบัญชา ยืนยันว่า ตนเองไม่ใช่เด็กใคร ทำงานตามอุดมการณ์ และตามความรับผิดชอบที่ได้รับมอบหมาย

"ตนเองมีอุดมการณ์ที่จะเดิน เพราะฉะนั้น ต้องยืนยันว่า ไม่คำนึงถึงความเจริญเติบโต หรือ จะอยู่ในอาชีพตำรวจได้หรือไม่ได้ แต่จะอยู่ เพื่อความถูกต้อง และเป็นธรรมกับทุกๆคน ให้สบายใจได้ ไม่มีใครใหญ่กว่าประตูห้องขัง ทุกคนเข้าไปพักผ่อนให้สบาย ใหญ่เท่าไหนก็จับ ไม่ต้องกลัวไม่ลำเอียง ยาจกหรือแม้กระทั่งขุนนางต่างๆ ได้หมดเราเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเราว่าไปตามข้อเท็จจริง ไม่มีใครช่วยใคร เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ถ้าเราไม่ได้ข้อมูลตรงนี้มา ตำรวจชั่วๆก็ยังคงอยู่"

หลังจากนั้น นายษิทรา ให้สัมภาษณ์ต่อว่า จากการที่ผู้การเต่า ให้สัมภาษณ์ตนเองมั่นใจขึ้นเยอะ หากตำรวจเลว เป็นหน้าที่ของผู้การเต่า ที่ต้องกำจัดอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้บังคับบัญชา หรืออะไรก็แล้วแต่ ถ้าเลวก็ต้องจัดการ

ส่วนกรณีสมาคมหนึ่งที่ตนเองได้เปิดเผยเส้นทางการเงินนั้น สมาคมไม่ได้เกี่ยว แต่เป็นเรื่องของตัวบุคคลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นอุปนายก ซึ่งอุปนายกคนนี้ เพิ่งจะหมดวาระไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา แต่ก่อนหน้านี้ได้มีการรับเงินจากบัญชีม้า สายเดียวกับที่ตนเองมาร้องเรียน ในการรับเงินมาตั้งแต่ปี 2020 ตอนแรกรับ 15,000 บาท 2021-2022 เริ่มมากขึ้น เป็นเดือนละ 30,000-50,000 บาท คำถาม คือ ทำไมต้องจ่ายเป็นรายเดือน จ่ายเพื่อให้ปิดบังเรื่องไม่ดีอะไรหรือไม่

นักข่าวคงอยากรู้ว่าอุปนายกคนนี้เป็นใคร ที่ทำให้นักข่าวส่วนใหญ่เสียหาย แต่เส้นเงินที่มี มีนักข่าวแค่ 2-3 คนเท่านั้น ไม่ใช่นักข่าวส่วนใหญ่ สมาคมนัก