พ่อน้ำตก!โอนที่ดินให้ลูกสาวคนสุดท้องกลับถูกฟ้องขับไล่ (มีคลิป)

พ่อน้ำตก!โอนที่ดินให้ลูกสาวคนสุดท้องกลับถูกฟ้องขับไล่ (มีคลิป)





ad1

ปราจีนบุรี-พ่อน้ำตาซึม ยกที่ดิน ให้ลูกสาวคนสุดท้อง ไปแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ให้ลูกทุกคนเท่า ๆ กัน กลับถูกฟ้องขับไล่ เผยสุดแค้น หลงไว้ใจมาโดยตลอด

เมื่อวันที่   20 ม.ค.2565 ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดปราจีนบุรี รายงานว่า ได้รับเรื่องร้องทุกข์   จากนายจำนงค์ พูลแข อายุ 79 ปี บ้านเลขที่ 4 หมู่ 8 ต.ลาดตะเคียน อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี   ตนเองพร้อมลูกสาว 4 คน    ได้รับความเดือนร้อนถูกลูกสาวคนที่ 5 ฟ้องขับไล่ที่อยู่อาศัย 

นายจำนงค์ กล่าวว่า   แต่งงานกับ นางวงษ์ พูลแข เมื่อประมาณปี 2505 มีลูกด้วยกัน 6 คน  ต่อมาได้ซื้อที่ดินเพิ่มเติมจากนางสร้อย บุญมีสนม อีก 6 ไร่ 2 งาน 90 ตารางวา โดยอาศัยอยู่กับบุตรทุกคนอยู่ด้วยกันที่บ้านเลขที่ 4 ม.8 กระทั่งลูกบางคนมีครอบครัวกันบ้างแล้ว  ต่อมาปี2540 มีภรรยาใหม่ 1 คนและอยู่กินกันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส  มีลูกด้วยกัน 2 คนแต่ยังคงไปมาดูแลป้าวงษ์และลูกทุกคนตลอดมา  

วันสงกรานต์ปี 2546 ตนได้มาร่วมทำบุญฉลองปีใหม่ของไทยที่วัดโคกมะม่วงเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ลูกทุกคนก็มากันพร้อมหน้า ป้าวงษ์ภรรยาได้ปรึกษากับลุงจำนงค์ว่าลุงจำนงค์มีลูกอีก 2 คนกับภรรยาใหม่ มีที่ดินอยู่แปลงเดียวลูกๆก็ปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินแปลงนี้ ต่อไปในภายภาคหน้าแก่เฒ่ามาจะมีปัญหาได้ ขอให้ลุงจำนงค์แบ่งแยกโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดเลขที่ดิน24670 ให้ลูกทุกคนเท่าๆกันจะได้ไม่มีปัญหาในภายภาคหน้าลุงจำนงค์ก็ตกลงด้วย 

จำนงค์ พูลแข

ช่วงเย็นวันสงกรานต์วันนั้นเรียกลูกทุกคนมาปรึกษากันตามที่ภรรยาบอก ขอให้พ่อแบ่งแยกโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้ลูกทุกคนซึ่งในเวลาดังกล่าวลุงจำนงค์บอกว่ามีงานต้องทำหลายอย่างไม่มีเวลาดำเนินการแบ่งแยกให้ได้ จึงปรึกษากับลูกทุกคนว่า พ่อจะโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงดังกล่าวใส่ชื่อนายสมพงษ์ลูกชายคนโตกับนางนภาพรลูกสาวคนเก่งคนที่ 5 ไว้แทนพ่อเพื่อแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ให้แก่ลูกทุกคนเท่ากัน ลูกลูกทุกคนก็ตกลงด้วย

แต่นายสมพงษ์ลูกคนโตบอกกับพ่อแม่และน้องๆว่า ตนเองต้องขับรถบรรทุก 10 ล้อของตนเองรับจ้างขนส่งสินค้าทุกวันจะกลับบ้านเดือนละ 2-3 วันเท่านั้นไม่มีเวลาในการแบ่งแยกที่ดินให้พี่น้องทุกคนเกรงว่าจะขัดข้อง ขอให้พ่อโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินใส่ชื่อนางนภาพร รัตนอัมพร ซึ่งน้องสาวคนนี้เป็นคนเรียนสูงกว่าพี่น้องทุกคน   ให้ทำหน้าที่แบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินให้น้องทุกคนได้จะสะดวกกว่า

ซึ่งทุกคนตกลงด้วยขณะนั้นทุกคนไว้ใจและเห็นดีด้วย ลุงจำนงค์จึงได้นัดเวลาว่างเพื่อนดำเนินการโอนที่ดินใส่ชื่อลูกสาวแทนตามที่ตกลงกันไว้ ณ สำนักงานที่ดินจังหวัดปราจีนบุรีสาขากบินทร์บุรี ได้มีการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามโฉนดที่ดินในวันที่ 10 ก.พ.47

ต่อมาลุงจำนงค์เพิ่งมาทราบเมื่อไปคัดถ่ายรองรับเอกสาร ร.10 ในการแจ้งโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน ขณะนั้นนางวันเพ็ญ ลูกสาวคนที่ 3 ได้ปลูกบ้านอยู่ในที่ดินแปลงดังกล่าว และลุงจำนงค์ได้ปลูกบ้านให้นายภูษิต ลูกชายคนที่ 2 และบ้านลูกที่เหลือก็ปลูกอยู่ในที่  ที่ซื้อเพิ่มจากยายสร้อย   ลุงจำนงค์ได้นัดวันเวลาว่างเพื่อดำเนินการโอนโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าวใส่ชื่อลูกสาวคนที่ 5 ไว้เพื่อทำหน้าที่แบ่งแยกกรรมสิทธิ์ให้แก่พี่น้องทุกคนตามที่ตกลงกัน ณ สำนักงานที่ดินจังหวัดปราจีนบุรีสาขากบินทร์บุรี ได้มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดที่ดินให้จำเลยมีชื่อเป็นเจ้าของแทนบิดาในวันที่ 10 ก.พ.47

ต่อมาทุกคนได้ทวงถามนางนภาพรทุกครั้งที่กลับมาเยี่ยมพ่อแม่ได้รับคำตอบว่า   ไม่ว่างให้อยู่กันไปก่อน    ลูกทุกคนไม่ว่าอะไรเพราะเห็นว่าเป็นพี่น้องพ่อแม่เดียวกัน  และพ่อแม่ก็ยังมีชีวิตอยู่ กระทั่งนายสมพงษ์ พี่ชายคนโตเสียชีวิต พี่น้องทุกคนก็ทวงถามนางนภาพร ซึ่งได้รับคำตอบว่ายังไม่ว่างให้อยู่กันไปก่อนปี 2563 ได้ถามถึงเรื่องที่ดินพี่จะแบ่งแยกให้พี่น้องทุกคนจะแบ่งแยกกันได้หรือยัง    นางนภาพรบอกว่ายังไม่ว่าง ลุงจำนงค์บอกลูกสาวว่าขอให้แบ่งกันให้เสร็จตามที่ตกลงกันไว้    ถ้าไม่ว่างก็มอบอำนาจให้พ่อทำหน้าที่แบ่งแยกให้ก็ได้ตอนนี้พอมีเวลาว่างแล้ว นางนภาพรไม่ตอบ

ปลายปี 2563 มีทนายความมาดูที่ดิน   จากการสอบถามทราบว่านางนภาพรมอบหมายให้ทนายมาดูที่ดิน   ลุงจำนงค์ได้พาลูกๆมาพบและร้องกับพนักงานอัยการฝ่ายช่วยเหลือทางด้านกฎหมายแก่ประชาชนเพื่อช่วยไกล่เกลี่ย นางนภาพรได้ปฏิเสธการมาเจรจาไกล่เกลี่ย  ให้ทนายดำเนินการไปตามกฎหมาย    โดยนางนภาพรให้พี่น้องที่ปลูกบ้านอยู่ในพื้นที่ทำสัญญาเช่าอยู่อาศัยตามความต้องการของนางนภาพร     หากไม่ทำการเช่าพื้นที่อยู่จะทำการฟ้องขับไล่ออกจากพื้นที่ดังกล่าวเพราะเป็นที่ของนางนภาพรอย่างถูกต้องตามกฎหมาย 

ลุงจำนงค์และลูกทุกคนร่วมกันครอบครองที่ดินดังกล่าวตลอดมาใช้เป็นที่อยู่อาศัย จากนี้ไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอยากจะฝากเตือนไว้เป็นอุทาหรณ์   หากถูกขับไล่ก็จะถือว่าเป็นเวรกรรมพี่ตนและลูกต้องเผชิญ ขณะนี้ตนเป็นมะเร็งผ่าตัดอาการไม่สู้ดีนักหากขับไล่ไม่รู้ว่าลูกๆจะไปอยู่ที่ไหน แค้นใจที่ลูกสาวทำแบบนี้หลงไว้ใจมาโดยตลอดลูกสาวไม่เคยหันหน้ามาคุยและพูดความจริงให้กับพ่อแม่และพี่น้องได้รับทราบเลย

มานิตย์   สนับบุญ/รายงาน