“เรืองไกร” ร้อง “กกต.” สอบ “ก้าวไกล-7พรรคร่วม” ลงนาม MOU ส่อผิดพรบ.พรรคการเมือง

“เรืองไกร” ร้อง “กกต.” สอบ “ก้าวไกล-7พรรคร่วม” ลงนาม MOU ส่อผิดพรบ.พรรคการเมือง





ad1

“เรืองไกร” ร้อง “กกต.” สอบ “ก้าวไกล-7พรรคร่วม” ลงนาม MOU พร้อมยื่นหลักฐานเพิ่ม ปม “พิธา” ถือหุ้นสื่อ 

เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 66 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อพรรค พลังประชารัฐ (พปชร.) เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อกกต. เพื่อขอให้ตรวจสอบพรรคก้าวไกลรวมถึงพรรคการเมืองอีก 7 พรรค ที่ร่วมกันลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกัน (MOU) ในการจัดตั้งรัฐบาล เมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งอาจเข้าข่ายกระทำการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมืองโดยแต่ละข้อที่มีการลงนามบันทึกข้อตกลง มีประเด็นที่น่าสงสัยตรงคำว่า “บันทึกข้อตกลงร่วม” ไม่ตรงกับคำว่า“บันทึกความเข้าใจร่วมกัน” ในการจัดตั้งรัฐบาล และคำว่าผู้แทนราษฎรที่ถูกควรเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนอกจากนี้ ในรัฐธรรมนูญมีการบัญญัติว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ย่อมเป็นแทนปวงชนชาวไทย ไม่อยู่ในความผูกมัด หรือการครอบงำใดๆ และต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต เพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศ ปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์

สำหรับพรรคการเมืองที่มีคณะกรรมการบริหารพรรคเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินกิจกรรมของพรรคการเมืองตามข้อบังคับซึ่งต้องกระทำด้วยความรอบคอบ และต้องรับผิดชอบร่วมกันในเรื่องของมติต่างๆ และที่สำคัญคือห้ามมิให้พรรคการเมืองยินยอม หรือกระทำการใดอันทำให้บุคคลอื่น ซึ่งมิใช่สมาชิกพรรคครอบงำ หรือชี้นำ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม

และจากการตรวจสอบเบื้องต้น โดยเฉพาะข้อบังคับพรรคก้าวไกล เมื่อปี 2563 ไม่พบการกำหนดที่เกี่ยวกับการลงนามในบันทึกความเข้าใจร่วมกันในการจัดตั้งรัฐบาล อีกทั้งในเรื่องของอำนาจหน้าที่ของหัวหน้าพรรคได้มีข้อกำหนดไว้ชัดเจน จึงเห็นได้ว่าพรรคการเมืองทั้ง 8 พรรค ที่ได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจร่วมกันในการจัดตั้งรัฐบาลอาจขัดต่อข้อบังคับของพรรคก้าวไกล เนื่องจากไม่พบรายละเอียดการกำหนดที่เกี่ยวกับการลงนามดังกล่าว และยังอาจทำให้บุคคลอื่นเข้าใจได้ว่าแต่ละพรรคการเมืองต่างฝ่ายต่างยินยอมให้หัวหน้าพรรคการเมืองที่เป็นบุคคลอื่น ซึ่งไม่ใช่สมาชิกกระทำการอันเป็นการควบคุม ครอบงำ กิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทำให้ขาดความอิสระไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม จึงมีเหตุอันควรให้ กกต.ตรวจสอบเรื่องดังกล่าว

ส่วนกรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าและแคนดิเดตพรรคก้าวไกล ถือหุ้นในบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จำนวน 42,000 หุ้น ในขณะที่รับสมัครเลือกตั้งเป็น ส.ส. และยินยอมให้เสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี จะเข้าข่ายมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) หรือไม่ จากข้อมูลตามบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัทไอทีวี ปี 2549 มีชื่อนายพงษ์ศักดิ์ ลิ้มเจริญรัตน์ ถือหุ้นจำนวน 12,000 หุ้น จากนั้นปี 2550 ถือหุ้นจำนวน 42,000 หุ้น และนับแต่ปี 2551 ถึง 2566 มีชื่อนายพิธาถือหุ้นจำนวนดังกล่าวมาโดยตลอด และมีการแจ้งที่อยู่ในการถือหุ้นแตกต่างกัน 3 ครั้ง ซึ่งการแจ้งเปลี่ยนที่อยู่ทำให้น่าเชื่อได้ว่านายพิธารู้หรือควรรู้ ถึงการถือหุ้นจำนวน 42,000 หุ้นมาโดยตลอด แต่ไม่เคยมีการระบุเงื่อนไขเกี่ยวกับการเป็นผู้จัดการมรดกตามที่กล่าวอ้าง โดยบริษัทไอทีวีมีรายได้รวมตั้งแต่ปี 2549 ถึงปี 2565 และจากข้อเท็จจริงในข้างต้น จะเห็นได้ว่านายพิธาเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทไอทีวีจำนวน 42,000 หุ้นมานับตั้งแต่ปี 2551 จนถึงวันที่ 26 เม.ย. 2566 ซึ่งบริษัทไอทีวีมีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับสื่อมวลชนตามความในรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) และมีรายได้ตามงบกำไรขาดทุนมาทุกปียกเว้นปี 2555 

โดยตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด มาตรา 59 บัญญัติว่า ในกรณีผู้ถือหุ้นของบริษัทตาย หรือล้มละลายอันเป็นเหตุให้บุคคลใดมีสิทธิ์ในหุ้นนั้น ถ้าบุคคลนั้น ได้นำหลักฐานที่ชอบด้วยกฎหมายมาแสดงครบถ้วนแล้ว ให้บริษัทลงทะเบียนและออกใบหุ้นใหม่นับตั้งแต่วันที่ได้รับคำร้อง และกรณีที่นายพิธายังคงมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทไอทีวีอยู่นั้นจึงควรมาจากที่นายพิธา ในฐานะผู้มีสิทธิ์ในหุ้นบริษัทไอทีวี ได้นำหลักฐานที่ชอบด้วยกฎหมายไปแสดงโดยครบถ้วน  จึงทำให้ทะเบียนผู้ถือหุ้นปรากฏชื่อนายพิธามาตลอดนับตั้งแต่ปี 2551 จนถึงปัจจุบัน และนายพิธายังคงมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นในขณะที่ลงรับสมัครเลือกตั้ง ส.ส. พร้อมกับยินยอมให้เสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี จึงอาจเข้าข่ายที่ต้องส่งให้ศาลที่มีเขตอำนาจพิจารณาวินิจฉัย ว่านายพิธามีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) หรือไม่ จึงขอให้ กกต. ตรวจสอบเพิ่มเติมว่านายพิธาจะเข้าข่ายมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ และขอให้ กกต.ส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไปว่านายพิธามีลักษณะต้องห้ามในการเป็น ส.ส หรือรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) ประกอบกับมาตรา 160 หรือไม่

เมื่อถามว่าการยื่นเรื่องร้องเรียนในครั้งนี้จะนำไปสู่การพิจารณายุบพรรคก้าวไกลหรือไม่ นายเรืองไกร กล่าวว่า ไม่ใช่เฉพาะพรรคก้าวไกล แต่ยุบทั้ง 8 พรรค เพราะต่างฝ่ายต่างยอมรับเงื่อนไข ซึ่งไม่ใช่สมาชิกพรรคซึ่งกันและกันเข้ามาครอบงำ โดยเอกสารที่เซ็นต์ทั้ง 8 รายชื่อลงนามโดยหัวหน้าพรรคทั้งหมด เรื่องดังกล่าวไม่ใช่เรื่องการขาดคุณสมบัติเฉพาะตัว แต่เป็นเรื่องพรรคการเมืองฝ่าฝืนมาตรา 28 หรือไม่ แล้วจะเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 92 (3) ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ที่ต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคหรือไม่ ซึ่งตนมีข้อเท็จจริง และกฎหมายอ้างอิงให้มาตรวจสอบ ส่วนรายละเอียดในข้อตกลงเอ็มโอยูบางประเด็นที่บางพรรคการเมืองไม่ได้ปฏิบัติตาม จะร้องแค่พรรคก้าวไกลอย่างเดียวไม่ได้ เพราะทั้ง 8 พรรคร่วมกระทำ 

เมื่อถามอีกว่าคิดว่าการร้องในครั้งนี้จะเป็นเงื่อนไขให้สมาชิกวุฒิสภาไม่ตัดสินใจโหวตให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ นายเรืองไกร กล่าวว่า ไม่เกี่ยวที่จะเป็นเหตุให้ส.ว.โหวตหรือไม่ให้นายพิธา

เมื่อถามเพิ่มเติมว่าการร้องเรียนกรณีนายพิธา มีเจตนาเพื่อหวังผลทางการเมืองหรือไม่ นายเรืองไกร กล่าวว่า มีเหตุตรวจสอบตนก็ยื่นร้อง ไม่มีเหตุแล้วมาปั้นพยานหลักฐานเท็จนั้นไม่ใช่ การออกมาทำหน้าที่ถึงทำในฐานะนอกสภาตนก็ทำมาตลอด 10 กว่าปี เรื่องร้องเรียนกรณีพล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา ตนร้องมากที่สุด ทั้งเรื่องการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 8 ปี การถวายสัตย์ฯ และเรื่องบ้านพัก รองลงมาคือการร้องพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ โดยเฉพาะเรื่องนาฬิกายืมเพื่อน ซึ่งตนได้ร้องย้ำๆมาตลอด ถ้าวันนี้พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งเป็นรักษาการนายกฯ แล้วไปทำผิดตนก็ร้อง หรือว่านายวิษณุ เครืองาม ทำผิดตนก็ร้องถ้ามีเหตุต้องร้อง 

ทั้งนี้ นายเรืองไกรได้แนบเอกสารหลักฐาน ซึ่งเป็นหนังสือรับรองการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์ และบัญชีแสดงรายได้รวมของบริษัทไอทีวี จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่ปี 2549 ถึงปี 2565 ประกอบการพิจารณาของ กกต.