พบเจอแล้วศพนายทหารมุอัลลัฟ ชายแดนใต้ ถูกวางไว้ที่วัดวัดสะตือพระพุทธไสยาสน์อยุธยา

พบเจอแล้วศพนายทหารมุอัลลัฟ ชายแดนใต้ ถูกวางไว้ที่วัดวัดสะตือพระพุทธไสยาสน์อยุธยา





ad1

พระนครศรีอยุธยา-พบเจอแล้วศพนายทหารมุอัลลัฟ ชายแดนใต้ ถูกวางไว้ที่วัดวัดสะตือพระพุทธไสยาสน์อยุธยา ฝากพี่น้องมุสลิมอยุธยาช่วยดูแลศพนายทหารมุอัลลัฟท่านนี้ด้วย อย่าได้เผา เพราะเขาเป็นมุสลิม

วันนี้(2มค.66)ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีศพ รท.สุรศักดิ์ บัวสาย อดีตนายทหารสัญญาบัตรในพื้นที่ปัตตานี ซึ่งเป็นมุอัลลัฟหมายถึงคนพุทธเปลี่ยนนับถืออิสลาม ที่ถูกภรรยาและลูกชิงศพจากโรงพยาบาลสงขลานครินทร์หาดใหญ่ จ.สงขลา นำกลับบ้านเกิดที่ จ.สระบุรี เพื่อประกอบพิธีตามศาสนาพุทธ โดยไม่สนใจหนังสือพินัยกรรมของผู้ตายที่มีการสั่งเสียไว้ให้กับภรรยาใหม่ให้ดำเนินการศพเขาไปตามหลักศาสนาอิสลาม ทำให้ทางโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ต้องประสานเจ้าหน้าที่ช่วยสกัดรถยนต์ที่นำศพกลับสระบุรี แต่ไม่สามารถสกัดได้ ทำให้ภรรยาและญาติต้องตามหาจ้าละวัน เหตุเกิดเมื่อวันที่30ธันวาคมที่ผ่านมา

จนกระทั่งล่าสุดวานนี้พบเบาะแสว่าศพดังกล่าวไม่ได้เอากลับไปสระบุรี แต่นำไปไว้ในวัดแห่งหนึ่งในพื้นที่ จ.อยุธยา จึงได้ทำการตรวจสอบจนพบว่าศพ ร.ท.สุรศักด์ บัวสาย หรือนายอามีน อยู่ที่นี่วัดสะตือพระพุทธไสยาสน์อยุธยา อำเภอท่าเรือ จ.อยุธยา ซึ่งขณะนี้ทางภรรยาและญาติพร้อมทนายเตรียมขออายัตศพ ไม่ให้เผา เพราะศพเป็นมุสลิมจะเผาไม่ได้และเพื่อเป็นไปตามคำสั่งเสียในหนังสือพินัยกรรมที่ผู้ตายได้ทำมาก่อนแล้ว จึงอยากให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดอยุธยา และพี่น้องมุสลิมที่นั้นช่วยประสานพูดคุยเพื่อยับหยั่งการเผาศพ เพื่อศพนั้นเป็นมุสลิมสมบูรณ์แบบมาหลายปีแล้วมีชื่อเรียกว่า”นายอามีน”

ร.ท.สุรศักด์ บัวสาย หรือนายอามีน เป็นมุอัลลัฟ รับเข้าอิสลามอย่างสมบูรณ์แบบ อยู่กินกีบภรรยามุสลิมในพื้นที่ อ.รามัน จ.ยะลา ตั้งแต่ 24 กรกฎาคม 2557 จนถึงปัจจุบัน และได้จากไปอย่างสงบที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ หาดใหญ่ จ.สงชลา หลังเข้ารักษาตัวคนไข้ฉุกเฉินจากโรคมะเร็งระยะที่สี่ เมื่อวันที่27ธันวาคมและเสียชีวิตเมื่อวันที่30ธันวาคมที่ผ่านมา แต่ศพถูกภรรยาพุทธและลูกชิงศพจากโรงพยาบาลฯพากลับสระบุรี เพื่อดำเนินการศพแบบพุทธ โดยไม่สนใจพินัยกรรมที่ผู้ตายได้สั่งไว้แล้ว  จนกระทั่งภรรยาและญาติฝ่ายมุสลิมต้องเข้าแจ้งความไว้แล้วที่ สภ.คอหงส์ จ.สงขลา เบื้องต้นทาง โรงพยาบาลฯได้พยายามประสาน จนท.เพื่อสกัดรถยนต์ที่ทุกศพดังกล่าว แต่ก็ไม่เป็นผล มีการสับเปลี่ยนรถเป็นระยะ จนยากในการติดตามและแจ้งปลายทางทราบ

นางสาวแมะนะ สะตาวา 104 ม.1 ต.อาช่อง อ.รามัน จ.ยะลา ภรรยาผู้ตายได้เปิดใจกับผู้สื่อข่าวว่าหลังจากได้ใช้ชีวิตคู่กัน ผู้ตายไม่เคยติดต่อกับภรรยาเก่าอีกเลย จนกระทั่งระยะหลังๆผู้ตายเริ่มมีอาการป่วยอยู่บ่อยครั้งจึงตรวจพบเป็นมะเร็งก่อนที่จะเกษียณอายุราชการเมื่อเดือนกันยายน2565ที่ผ่านมา ในระหว่างที่ป่วยอยู่บ้านได้มีลูกสาวของผู้ตายได้เดินทางมาหา และพยายามชวนพ่อกลับไปอยู่บ้านที่สระบุรี แต่ผู้ตายก็ได้ปฏิเสธลูกสาวไปแล้ว แม้ลูกสาวจะพยายามอ้อนวอนพ่อ และผู้ตายพร้อมที่ตายฝั่งกูโบร์ที่นี่ ครั้งนั้นลูกสาวมาอยู่ด้วยกันสามวันจากนั้นก็กลับไป

จนกระทั่งเมื่อวันที่27ธันวาคม65ที่ผ่านมา ถึงวันนัดกับหมอโรงพยาบาลสงขลานครินร์หาดใหญ่ ตนจึงได้พาไปพบหมอตามนัดโดยขับรถยนต์ไปเอง แต่ผลตรวจหมอบอกว่าอาการป่วยหนักมากแล้วเป็นระยะที่สี่ซึ่งเป็นช่วงภาวะที่เสี่ยงมากในการรักษาหมอจึงไม่รับผู้ป่วยรักษาต่อ ผู้ตายจึงตัดสินใจกลับไปตั้งหลักที่บ้านที่รามัน จ.ยะลา ในระหว่างกลับมาถึงประตูโรงพยาบาลฯผู้ตายมีอสการหายใจไม่สะดวกจึงรีบกลับรถไปเข้าฉุกเฉินโรงพยาบาลสงขลานครินทร์หาดใหญ่อีกครั้ง หลังจากนั้นผู้ตายเข้าพักรักษาตัวห้องอยุรกรรมชายรวมพร้อมสวมท่ออ๊อกซิเจน 

โดยผู้ตายมีสติรู้สึกตัวดีตลอด พยาบาลก็ได้สอบถามประวัติตัวเองว่าอะไรกันกับผู้ป่วย ก็บอกว่าเป็นภรรยา พยาบาลก็ขอเบอร์โทรศัพท์ติดต่อหากมีอะไรฉุกเฉินจะได้โทรแจ้ง จากนั้นพยาบาลได้ยื่นหนังสือยินยอมในการรักษาผู้ป่วยตัวเองก็ลงชื่อยินยอมให้หมอรักษา ด้วยมาตรการป้องกันโควิด19 ทางโรงพยาบาลฯไม่อนุญาตให้ญาติเฝ้าผู้ป่วยได้แต่อนุญาตให้เข้ามาเยี่ยมเป็นเวลา จึงต้องนั่งรออยู่หน้าห้องตลอดจนกว่าจะถึงเวลาเยี่ยม พอเวลา2ทุ่ม ก็ลงไปนั่งนอนในรถ ไม่ได้ไปไหนเลย และได้รับแจ้งจากพยาบาลถึงอสการทรุดหนักของผู้ป่วย แต่เมื่อผู้ตายสิ้นใจกลับไม่แจ้งให้ทราบ 

จนกระทั่งเวลา07.00น.ทางลูกและภรรยาคนเก่าจากสระบุรีมาถึงเพื่อมารับศพพากลับไปสระบุรี จึงเกิดปัญหาการยื้อแย่ง เพราะเราจะยอมได้อย่างไรผู้ตายเป็นมุสลิมแล้วผู้ตายก็มีหนังสือพินัยกรรมสั่งเสียไว้แล้วให้ดำเนินการจัดการศพแบบอิสลาม ที่สำคัญทางโรงพยาบาลทำไมถึงไม่แจ้งให้ภรรยาที่เฝ้าอยู่หน้าห้องถึงการเสียชีวิตของสามี แต่กลับไปแจ้งประสานกับคนที่อยู่สระบุรีแล้วเดินทางกี่ชั่วโมงกว่าจะมาถึงโรงพยาบาลสงขลานครินทร์หาดใหญ่ ภรรยาอิสลามหน้าห้องที่เฝ้าคนไข้ทุกวันกลับไม่แจ้งให้ทราบ เกิดอะไรขึ้น ทำไมโรงพยาบาลฯกระทำเช่นนี้จนสร้างความวุ่นวายมีเจตนาอะไรหรือไม่อย่างไร อยากให้ทางโรงพยาบาลชี้แจงให้สังคมทราบต่อกรณีนี้ด้วย/ภรรยากะยห์ได้กล่าวไว้

"เนื่องจากผู้ตายเคยมีสองสถานะเคยนับถือศาสนาพุทธมาก่อนมีภรรยามีลูกที่นับถือพุทธเช่นกันมาก่อนหน้านี้ จนกระทั่งหลายปีที่ผ่านมาผู้ตายได้ถูกส่งมารับราชการทหารในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเวลานาน ได้เข้าคลุคลีกับประชาชนมุสลิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เกิดการซึมซับ เริ่มสนใจกับศาสนาอิสลามมากขึ้นจึงได้ตัดสินใจเข้ารับอิสลามโดยสมัครใจอย่างบริสุทธิ์จากนั้นจึงได้แต่งงานกับสาวรามันตระกูลดังเป็นภรรยา เมื่อวันที่24กรกฎาคม2557